3/9/14

ทริปเยี่ยมญาติ Japan 2014 : wakayama นั่งรถไฟไปดูแมว













ทริปนี้เหตุเกิดจากความคิดถึงมันห้ามไม่ไหว ตอนแรกวางแผนไว้ว่าจะไปประมาณเดือนกรกฎาคมเพราะตั้งใจจะไปปีนฟูจิซังด้วย
(ฟูจิซังเปิดให้ปีนช่วงซัมเมอร์ค่ะ) แต่รู้สึกว่ามันนานไปนะ คือตอนนี้มีเงินแล้วถ้ารอถึงตอนนั้นเงินอาจจะหมดได้ ~(・・?))
ตัดสินใจจองแอร์เอเชียได้ในราคา 13,xxx บาทเวลาต่อเครื่องก็ 2 ชั่วโมงถือว่าไม่ขี้เหร่ เรามีเวลาเที่ยวแค่ 5 วัน
คือดูจากเวลาแล้วมันเหมือนแน่นมาก แต่โชคดีที่เราเคยมาทำงานที่นี่อยู่แป่บนึงทำให้แถบๆ คันไซเราก็เที่ยวไปหลายที่แล้ว
มารอบนี้เลยตั้งใจไปที่ที่ไม่เคยไป ที่ที่ยังไม่เคยไปที่มาอยู่ในแผนการเดินทางครั้งนี้คือ วากายามะ โกเบ และคานาซาว่า















ก่อนเดินทางประมาณสัปดาห์นึงทาโร่ส่งข้อความมาหาในเฟสบุคว่าช่วงที่เราอยู่ในญี่ปุ่นอยากให้มาถ่ายวีดีโองานให้หน่อย
เราก็ส่งตารางให้ทาโร่พักนึงฮีก็ตอบกลับมาว่าไม่ว่าเราจะไปไหนฮีขอตามไปด้วยเพื่อที่จะถ่ายวีดีโอเรา อันนี้คือวงที่เพื่อนเราทำวีดีโอให้ค่ะ


วีดีโอที่เราถ่ายจะลงยูทูปประมาณกรกฎาคม ถ้าเพื่อนทำเสร็จแล้วเดี๋ยวเอามาให้ดูกัน





เราเดินทางคืนวันที่ 27 ถึงคันไซแอร์พอร์ต เช้าวันที่ 28 เราเคยไปญี่ปุ่นแล้ว 2 ครั้งด้วยวีซ่าทำงาน
คราวนี้ไปตัวคนเดียวถึงเคยไปมาแล้วก็ยังรู้สึกตะหงิดๆ (เราเป็นคนเซ้นส์แม่นระดับนึง) ก็เลยเตรียมหนังสือรับรองการทำงานไปด้วย
.
.
.
และแล้วความแม่นยำของเซ้นส์ก็บังเกิด ผ่านตม. มาแล้วนึกเหรอว่าจะรอด ?!?! มาถึงด่านตรวจกระเป๋าโดนเพ่งเล็งจากเจ้าหน้าที่ชายร่างเล็กคนนึง
ฮีกวักมือเรียกเราถามว่าพูดภาษาอังกฤษได้ไหม เราบอกว่าได้ ฮีถามว่าขนยามาหรือเปล่า คืออัลไลลลล !!! หน้าอย่างกูเนี่ยนะขนยา ?? !!
และฮีก็ขอเปิดกระเป๋าเดินทางจ้าาาาา  ......ฮีก็เปิดเอามือควานทุกซอกทุกมุมในกระเป๋า เจอเบียร์ไทยไปประมาณ 10 กระป๋องจนท.ทำหน้าฉงน
ขนมาทำไมเบียร์ไทย ? ? บอกจนท.ไปว่าเพื่อนญี่ปุ่นของฉันชอบเบียร์ไทยมากอันนี้ขนมาฝากเพื่อน พี่ชายพยักหน้าเข้าใจ
ล้วง ควานหา จนแน่ใจแล้วว่าข้าพเจ้าไม่ได้ขนยามา ฮีบอกโอเคไปได้ แต่เราไม่ยอมค่ะ คือฮีไม่ยอมปิดกระเป๋าให้เรากระเป๋าเราเต็มปิดยากมากกก
เราเลยพูดว่าเปิดตรวจแล้วก็ปิดให้ด้วยสิ ! พร้อมเชิดหน้าขึ้น 45 องศา ฮีก็บอกซอรี่ๆ แล้วก็ปิดให้แต่โดยดี









ผ่านด่านทุกอย่างมาได้แต่โดยดี หลังจากเจอเพื่อนแล้วเล่าให้เพื่อนฟังเพื่อนบอกว่า เราคือ 1 ใน 10 ผู้โชคดีนะ
เพราะทุกวันจะมีการสุ่มตรวจวันละ 10 คนเท่านั้น อืมมม ถือว่าเป็นผู้โชคดีจริง ๆ ใช่ไหม ?? 


เดินไปห้องน้ำแต่งหน้าแต่งตาแต่งตัวให้เหมาะสมกับอากาศด้านนอก เดี๋ยวเราจะออกไปตะลุยคันไซแต่เพียงผู้เดียว เป็นสิ่งที่เรากลัวที่สุด
เพราะ .... เป็นคนหลงทิศขั้นรุนแรง ถึงแม้มีแผนที่อยู่ในมือแล้วก็เปรียบเสมือนกระดาษเปล่าดี ๆ นี่เอง แผนที่ไม่ช่วยอะไร
ภาษาญี่ปุ่นที่ติดตัวไปแค่มินนาโนะเล่ม 2 นั่นช่วยได้มากอย่างน้อยก็ช่วยให้ฟังเจ้าหน้าที่สถานีได้มากขึ้น ตรงไป ขบวนถัดไป
บอกเวลา ใช่ หรือไม่ใช่ได้มากขึ้น


ระหว่างทางนั้นเพื่อเพิ่มความแน่ใจให้ตัวเองว่าไม่ผิดสายรถไฟแน่ ๆ หันไปมองรอบตัวเจอคุณป้าท่านหนึ่ง
แต่ตัวค่อนข้างทันสมัย เรามีความมั่นใจว่าเธอต้องพูดภาษาอังกฤษได้แน่ ๆ ไม่มากก็น้อย แต่ปราฏกว่าเธอพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย
แต่เธอไม่ได้วิ่งหนีเรา แต่กลับจูงมือเรา (จูงมือจริงๆ) ไปหาเจ้าหน้าที่สถานี เพราะเธอเองก็ไม่แน่ใจเช่นเดียวกับเรา เธอถามจนได้คำตอบที่มั่นใจ
และหันมาอธิบายให้เราฟังเป็นภาษาญี่ปุ่น ซึ่งเราฟังออกซัก 30% เท่านั้น รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างแต่ก็ขอบคุณมากค่ะ
นี่คือมิตรภาพแรกที่ได้เจอสำหรับเช้าวันนี้ ทริปนี้เรามีเรื่องน่ารัก ๆ หลายเรื่องถือว่าเป็นทริปที่มีความสุขมาก ๆ เลยหล่ะ






















ทำไมต้องมาวากายาม่า ? วากายาม่ามีอะไรดี ? ตอบเลยว่ามีแมว !!!
จริง ๆ วากายาม่ามีทั้งปราสาท น้ำตก ภูเขา ออนเซ็น เหล้าบ๊วยเลื่องชื่อ ที่เหตุผลของเราคือ แมว
แมวทามะที่ดำรงตำแหน่งเป็นถึงนายสถานี และทีเด็ดอีกอย่างนึงคือรถไฟลายต่าง ๆ
ทั้งลายแมว สตรอเบอร์รี่ และ ของเล่น ถ้าหากมีเวลาเหลือเฟือก็สามารถนั่งเปลี่ยนสายได้เรื่อย ๆ ทุกสาย
แต่เรามีเวลาน้อยมาก เลยได้นั่งลายแมวลายเดียวก็เสียใจเล็กน้อย แต่อย่างน้อยก็ได้เจอเจ้าทามะ
ก็ถือว่าโอเคแล้ว


วันศุกร์กลางวันแบบนี้ในรถไฟแมวคนข้างน้อย ส่วนมากผู้โดยสารคือนักเรียนมัธยม ที่ใช้เส้นทางนี้เป็นประจำ
รู้สึกอิจฉาน้อง ๆ ที่ชีวิตประจำวันได้เจออะไรที่น่ารัก ๆ แบบนี้ทุกวัน รู้สึกว่าคุณภาพชีวิตพวกเค้าดีจัง
วิวทิวทัศน์ สภาพแวดล้อมที่ดีก็ทำให้หัวใจได้แช่มชื่นในระดับนึง






















เราไปถึงสนาทีที่เจ้าทามะอยู่ ปรากฏว่าไม่เจอแมวทามะ นางไปไหน ? ได้โปรดอย่าทำให้เราเสียใจรอบที่สองได้ไหม ?
เดินไปฆ่าเวลาที่ร้านขายของที่ระลึก กลับมาอีกทีนางก็ยังไม่กลับมา ถอดใจแล้วหันหลังกลับเดินไปที่รถไฟแล้ว ได้ยินเสียงกรี๊ดของสาวญี่ปุ่น
อ่าาาาาาา คาวาอี้เน้ !!!! นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้ได้ว่า ทามะจังนางมาแล้วววววววว หันไปเจอกดชัตเตอร์รัววววววว ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ถ่ายรูปทามะจนสมใจอยากแล้วก็กลับไปที่สถานีเพื่อจะกลับไปสนามบิน เพราะนัดทาโร่กับอายาริไว้ ก้มมองนาฬิกาข้อมือตัวเอง
บ่ายสองเองนัดเพื่อนไว้ 4 โมงครึ่งเหลือเฟิออออ เลยเดินชิวตะแล่ดแต่ดแต๋กินขนมนมเนยสบายใจ และก็เกิดการตะหงิดอีกรอบ
เอ๊ะ ! นาฬิกาข้อมือที่ใส่อยู่เป็นเวลาไทยหรือเวลาเจแปนนะ ???? และก็พบว่าเวลาในข้อมือนั้นคือเวลาไทยจ๊ะ
แสดงว่าเวลาเจแปนนำไป 2 ชั่วโมงแล้ว จะให้ทำไงก็ใส่เกียร์หมาวิ่งสิ
เมื่อก่อนนี้เคยคิดว่าทำไมคนญี่ปุ่นต้องวิ่งให้ทันรถไฟ ไม่ทันก็รอเที่ยวถัดไปไหม แต่ตอนนี้รู้แล้วทำไมต้องวิ่ง !!
สำเร็จ มาถึงสายกว่าเวลานัด 20 นาที (มันสำเร็จตรงไหนฟ่ะ) อ่อออ ไม่ลืมปรับเวลาในข้อมือจ๊ะ



















นัดทาโร่ไว้ที่ชั้น 1 หน้าสตาร์บัคส์ เพื่อนมาถึงแล้ว ส่งเมสเสจมาแล้ว ขอโทษเพื่อนด้วยที่ตัวเองลืมปรับเวลา เขกหัวตัวเองซักที _ _;
อายาริไปโตเกียวเพิ่งกลับมาด้วยพีชแอร์ (ขอบอกว่าถูกกว่าชิงคันเซ็นนะคะ) เลยมารอกลับบ้านพร้อมกันที่สนามบิน
รู้สึกดีที่ได้กลับบ้านพร้อมเพื่อน อย่างน้อยเราก็มั่นใจว่าเราไม่หลงทางแน่ ๆ ในช่วงเวลาที่เป็นฟรายเดย์ไนท์เช่นนี้
เชื่อเถอะคนออกมาแฮ้งค์เอ้าท์กันมหาศาล  และข้อดีอีกอย่างที่นัดเจอเพื่อนคือ ทาโร่มันช่วยลากกระเป๋าให้ แฮะ ๆๆๆ





























ก่อนกลับเกียวโตพวกเราถ่ายวีดีโอที่สนามบินกันก่อน ถ่ายเสร็จประมาณ 5 โมงกว่า ก็จับรถไฟ Nankai เช่นเดิมเพื่อกลับเกียวโต
ไปเปลี่ยนเป็นสาย Hankyu ที่สถานี Umeda แล้วตรงไปคาวารามาจิเลย เดิน 10 นาทีจากสถานีคาวารามาจิก็ถึงบ้านอายาริ 
เกียวโตที่เคยรู้จักไม่เปลี่ยนไปจากที่เราเคยเห็นมากนัก ออกมาจากสถานีเรายืนสูดหายใจเอากลิ่นเกียวโตเข้าให้เต็มปอด
หันไปบอกเพื่อนว่าตอนนี้ดมกลิ่นนี้ตุนไว้เยอะๆ อีกไม่กี่วันก็กลับแล้วจะได้กลับมาดมมันอีกเมื่อไหร่ยังไม่รู้เลย
การดมนี่มันฟังดูอาจจะเหมือนโรคจิตนิดๆ นะแต่เพราะรักจะให้จิตแค่ไหนก็ยอม















เดินฝ่าลมหนาวกันมาสัก 10 นาทีก็มาถึงบ้านอายาริ บ้านที่เราเคยอยู่แม้เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก
ตอนนี้ป่ะป๊าไม่อยู่แล้ว แต่ทุกคนในบ้านก็กลับคืนสู่สภาวะปกติ ทุกคนมีความสุข มีเสียงหัวเราะเหมือนเดิม
ก่อนเข้าบ้านมีรูปป่ะป๊าวางอยู่เรายกมือไหว้แล้วบอกป่ะป๊าว่าตลอดเวลาที่หนูอยู่ที่นี้ขอให้ดูแลหนูด้วยนะคะ เชื่อว่าป่ะป๊าฟังเราอยู่













To be continue . . . . .





























No comments: