7/21/15

Japan Summer 2015 : Walk around Yokohama - เดินทน เดินถึก ณ โยโกฮาม่า








หลังจากออกจากอังปังแมนมิวเซี่ยมแล้ว เราก็เดินมาเรื่อย ๆ เป้าหมายของตอนนี้คือ มินาโตะมิไร

เป็นที่ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงของโยโกฮาม่า แถวนี้จะเป็นตึกออฟฟิศ ห้าง ร้านอาหารซะส่วนใหญ่ และด้วยความที่ติดท่าเรือ

วันหยุดหรือตอนเย็นเลิกงานก็จะเห็นว่ามีครอบครัว พนักงาานออฟฟิศมาเดินเล่นอย่างหนาแน่น

จุดสังเกตุของมินาโตะมิไรคือ ตึกแลนด์มาร์คทาวเวอร์ค่ะ อันนี้จะเป็นทั้งโรงแรม ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร

เรียกว่ามาที่เดียวเที่ยวได้หลายสิ่งทั้งช้อป ทั้งกิน









เราเดินเรื่อย ๆ ชิวๆ  ตามป้ายบอกทางมาประมาณ 20 นาทีก็มาถึงแลนด์มาร์กทาวเวอร์ ตรงนี้จะมีสถานีรถไฟใกล้ ๆ 

มีสองสถานีคือ มินาโตะมิไร และ ซากุระกิโช แต่ก็เป็นสถานีเล็ก ๆ ไม่ใหญ่มาก แนะนำว่าเดินเล่น ๆ จากสถานีโยโกฮาม่ามาดีกว่า

คือโดยส่วนตัวเราถ้าเราเป็นนักท่องเที่ยวเราก็เลือกที่จะเดินชมเมืองในระยะทางใกล้ ๆ มากกว่าได้เห็นอะไรที่แปลกตาเพลินดี






จากตรงนี้เราจะเห็นคอสโมเวิร์ลด สวนสนุกขนาดย่อม ๆ มีเครื่องเล่นประมาณนึง แต่ก็นับว่าเป็นจุดขายของย่านนี้ค่ะ 

เรียกว่าความเสียวระดับเด็กน้อย ฮ่าๆๆ คือสามารถเข้ามาได้ฟรีไม่เสียค่าเข้า แต่ถ้าจะเล่นเครื่องเล่นก็เดินไปจ่ายเงินที่ขายตั๋ว

และสามารถเล่นได้เลย ส่วนมากเป็นพวกม้าหมุน เครื่องเล่นหยอดเหรียญสำหรับเด็กอ่ะ เราไม่ได้เล่น นั่งไปพังแน่ ๆ 

จากคอสโม่เวิร์ลดตรงนี้เราก็จะมองเห็นชิงช้าสวรรค์ อันนี้ก็เป็นจุดขายเหมือนกันนะเราว่าเพราะเวลากลางคืน

จะเปิดไฟประดับสวยมาก เหมาะกับการถ่ายรูป แถมแถวนี้ลมแรงเพราะติดทะเล อากาศจะเย็นหน่อย ๆ โรแมนติกสำหรับคู่รักมาก



























เราเดินมาเรื่อย ๆ ก็จะผ่านราเมงมิวเซียม แบบที่เข้าไปดูประวัติและทำราเมงในแบบของตัวเองได้ฟรี แต่เราไม่ได้เข้าค่ะ เพราะไม่สนใจจริง ๆ 

เดินมาเรื่อย ๆ ประมาณ 15 นาทีก็มาถึงเป้าหมายของเรานั่นคือ Yokohama Red Brick Warehouse นั่นเอง 

เรียกว่ามารำลึกความหลัง เมื่อมีนาคม 2011 เราได้มาทำงานที่ตึกนี้เป็นเวลา 2 อาทิตย์ ทำงานกันตั้งแต่ เที่ยงวันยันเที่ยงคืน 

กินนอนกันที่นี้เลย รู้สึกคิดถึงอยากเจออีกครั้งก็เลยกลับมา 

ตึกแดงนี้จะติดอยู่กับท่าเรือค่ะ เมื่อก่อนเคยเป็นโกดังเก็บสินค้าของท่าเรือโยโกฮาม่า ตอนนี้ได้เปลี่ยนมาเป็นแหล่งท่องเที่ยว

ในนี้จะมีทั้งร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ และมีโรงละครขนาดใหญ่อยู่ด้านบนค่ะ (เราทำงานที่โรงละครนี้แหละ)

ตอนนั้นที่มาเป็นฤดูหนาว ส่วนวันนี้เป็นฤดูร้อนที่ร้อนมากกกกก อากาศต่างกันอย่างลิบลับ

แต่ความรู้สึกคิดถึงยังคงเดิม ฮิ้วววววว....




























หลังจากตึกแดงแล้ว เราเดินต่อไปเรื่อย ๆ มาที่ Yokohama international port terminal ซึ่งเป็นท่าเรือใหญ่ที่ยื่นไปกลางทะเล 

เราไม่แน่ใจเรื่องที่มาที่ไปของท่าเรือนี้เพราะไม่ชัวร์ภาษาอังกฤษ ไปอ่านเอาตามลิ้งค์นี้นะคะ ฮือๆๆ

http://www.osanbashi.com/en/outline/index.html

ด้านบนตอนนี้ก็จะมีร้านอาหาร และบาร์เบียร์ สำหรับคนที่มานั่งชิวยามเย็นค่ะ ห้ามปั่นจักรยานขึ้นไปเน้อ เอาจอดไว้ด้านล่าง

ถ้ายืนบนท่าเรือนี้มองไปด้านซ้ายจะเป็นมินาโตมิไร และถ้ามองไปทางด้านขวาจะเห็นสะพานคล้าย ๆ สะพานสายรุ้ง

ไม่แน่ใจว่าสะพานอะไรเช่นกันค่ะ ฮ่าๆๆๆ

แต่ถ้าใครมาที่โยโกฮาม่าแนะนำให้มาที่นี้ด้วยนะคะ เพราะสวยมากจริง ๆ เราเดินไม่ไหวแล้ว ร้อนด้วย ปวดขามากกก

รองเท้าไม่ซัพพอร์ต นี่ถึงขั้นถอดรองเท้าเดินเลย








































เดินกลับมาที่สถานีซากุระกิโชเพื่อรออ้วนกลับบ้านด้วยกันตอน 6 โมง วันนี้ฟ้าโยโกฮาม่าสวยมากค่ะ 

แต่นี้คือการสับขาหลอก ก่อนที่จะไต้ฝุ่นอย่างหนักหน่วงอีก 2 วันถัดมา ปวดใจจจจจ









วันนี้ไปละค่ะ พรุ่งนี้จะไปเที่ยวไหนกันดี











Japan Summer 2015 : Osaka - ไปเปรี้ยวโอซาก้ากัน



เราเก็บของออกจากอพาร์ตเม้นท์ของทัคจังตั้งแต่ 8 โมงมารอบัสเพื่อไปบ้านอายาริ วันสุดท้ายแล้วไม่หลงแล้ว 

ตอนมากระเป๋าหนักมากแบกกันหลังแทบหัก ขากลับทำไมมันหนักกว่าเดิมฟร่ะ ?!?! เอาเบียร์กับมาม่าออกไปแล้วมันควรจะเบาขึ้นไม่ใช่เหรออออออ...... 

เรานัดอายาริไว้ 10 โมง มาถึงคาวารามาจิประมาณ 9 โมงเลยหาอะไรกินกันก่อน จะได้ไม่ต้องไปรบกวนให้ม่าม้าหาข้าวให้กินอีก ฮ่าๆๆ

ไปถึงบ้านอายาริเจอยลซ รออยู่แล้วนั่งพักกันสักแป่บก็เดินไปที่ Hankyu Kawaramachi ส่วนทัคจังเช้าวันนี้นางมีธุระเดี๋ยวจะตามมาเจอที่โอซาก้าช่วงบ่ายๆ  
วันนี้เรานัดเจอกับเคย์จังและโทมี่ด้วย ไม่ได้เจอเคย์จังนานละ ในรอบปีที่จะได้เจอเลยนะเนี่ยดีใจจจจ 

เรานัดเคย์จังที่ Hankyu Umeda อีกประมาณ 20 นาทีจะถึงเวลาที่นัดกับเคย์ อายาริเซอร์ไพรส์ว่าม่าม้าให้เงินมาเพื่อซื้อของขวัญวันเกิดให้ปูจังย้อนหลังด้วย อยากได้อะไรให้รีบบอกเลยนะราคาเท่าไหร่ก็ได้ เรานี่โคตรเกรงใจ บอกเพื่อนไปว่าเอางี้ดีไหมไม่ต้องซื้อของขวัญให้เราหรอกเปลี่ยนเป็นจ่ายค่าเบียร์ให้เราดีกว่า ......
อายาริบอกไม่เป็นไรจ๊ะ ค่าเบียร์เธอม่าม้าก็ให้มาแล้วต่างหาก คือนี่วางแผนกันมาเสร็จสรรพเลยเร๊อะ!!!  (พูดเสร็จก็กอดอกตามสไตล์นาง) ส่วนเรานี่คิดไม่ตกเลยว่าจะซื้ออะไรดี  ดีใจด้วยเกรงใจด้วย 

สักพักอายาริสะกิดแขนเราเบาๆ พร้อมยักคิ้วให้แล้วพูดว่าเจอสิ่งที่เธออยากได้แล้ว หันหน้าไป เจออออออ ช้อป จิบลิ จ้าาาาาาา อารมณ์นั้นวิ่งใส่แบบไม่รอใครเลย ความเกรงใจไม่มีในพจนานุกรมนังมิโดริอีกต่อไป 





เดินดูสักพักก็เริ่มยอมแพ้ คือมันอยากได้ทุกอย่างเลยไงแล้วมันก็แพง เราว่าถ้าเทียบพวกราคาคอลเลคชั่นของมิวเซี่ยมต่างๆ เกี่ยวกับอนิเมชั่นที่ทำออกมาขายแล้วจิบลินี่แพงกว่าชาวบ้านเค้าเลยนะ ยกตัวอย่างเช่นผ้าเช็ดหน้าเราซื้อในจิบลิช้อปในราคา 1500 เยน เราจะซื้อผ้าเช็ดหน้าจากโดราเอม่อนช้อปได้ในราคา 700-1000 เยนเท่านั้น โปสการ์ดยังแพงเลย ฮืออออออ

หลังจากที่คิดถึงประโยชน์ใช้สอยแล้ว เราเลือกกระบอกน้ำที่เก็บน้ำร้อนก็ร้อนได้สามวันสามคืน เก็บน้ำเย็นก็เย็นได้เป็นเดือนๆ (อันนี้เว่อร์นะ แต่มันเก็บได้ประมาณ 2-3 วันจริงๆ) ลายโตโตโร่สีเขียวเหลืองฟรุ้งฟริ้งกระดิ่งแมวอันละ 2700 เยนเลือกมาได้ 1 อัน

สักพักยลซ เดินมาบอกว่า อยากซื้อของขวัญให้ปูจังด้วยให้เลือกหยิบอะไรก็ได้ เรานี่กรี๊ดเลยยยย โอ้ย!!! มันหนักกก !!! ไม่ใช่ กรี๊ดดีใจต่างหากเฟ้ยยยย!!! เลยได้ถ้วยชาลาย Spirited Away ใบละ 1500 เยนมาอีก 1 ใบ กินน้ำกินชากันสนุกละคราวนี้






เลือกซื้อของเสร็จเคย์จังก็ไลน์มาหาอายาริพอดีบอกว่าถึงแล้วยืนรออยู่ที่ไหนสักแห่งในสถานี พวกเราก็เลยเดินกันไปหาเคย์จังหลังจากที่เจอเคย์จังแล้วสิ่งแรกที่ต้องทำคือหา coin locker (ตู้ล็อคเกอร์แบบหยอดเหรียญ) เพราะกระเป๋าเราหนักมากกกกกกก ให้เดินแบกไปมาทั้งวันได้ตายก่อนแน่ๆ 

ในสถานีนี้มี coin locker เยอะมากตั้งไว้เป็นจุดๆ  แต่เต็มหมด !!!!! พวกเราเดินหาล๊อคเกอร์ขนาดกลางราคาประมาณ 600 เยน เดินหานานมาก เดินไปที่ไหนก็เต็มเกือบท้อล่ะ จนเคย์จังพาเดินไปตรงที่แสดงผังล็อคเกอร์ (ตรงนี้ฝากความหวังไว้ที่คนโอซาก้าอย่างเคย์จังคนเดียวเลย) ซึ่งตรงผังนี้จะแสดงให้เราเห็นล็อคเกอร์ที่ว่างอยู่โดยขึ้นตัวหนังสือว่า "ว่าง" เอาไว้ สิ่งที่เราต้องทำคือใส่เกียร์หมาวิ่งไปให้ทันก่อนจะมีใครมาแย่งไป

สรุปว่าไม่ทันจ้าาาาาาาาาาาาาาาาาาา 

เดินหากันอีกรอบ โดยรอบนี้วางกลยุทธ์ว่าเราต้องแยกกันออกตามหา และถ้าใครหาเจอก่อนให้จองไว้โทรมาเดี๋ยววิ่งไป
และสุดท้ายเราก็ได้ล็อคเกอร์ .......


ทรหดมาก คือสถานีมันไม่ใช่เล็กๆ เลยนะเฟ้ย!!!






หลังจากที่ต่อสู้ฝ่าฟันตามหาล็อคเกอร์ได้เป็นที่เรียบร้อย เราก็ไปหาของกินกันต่อ คำถามที่หาคำตอบได้ยากที่สุดคือ กินอะไรดี?? เพื่อนถามความเห็นเราเพราะเราคือผู้มาเยือน เราเลยโยนคำถามทั้งหมดไปให้เคย์จังหาคำตอบในฐานะเจ้าบ้าน เคย์จังเลยพาไปกินซูชิแบบสายพาน นางบอกว่าร้านนี้อร่อยมากินบ่อยแถมราคาไม่แพงด้วยอาจจะต้องรอคิวนิดนึงด้วยนะ
และพอไปถึงก็ตามคาดจ๊ะ ลงชื่อไว้แล้วรอคิวกันพักนึงเลย ที่สถานีวันนี้วันอาทิตย์คนเยอะทุกร้าน แถมพรุ่งนี้วันจันทร์เป็นวันหยุดพิเศษด้วยคนอย่างมด 

สักพักนึงทัคจังก็ตามมาถึงพอดีและถึงคิวพวกเราพอดีเข้าไปในร้านเห็นจานซูชิทยอยไหลๆๆ ออกมาน้ำลายไหลลลลล มาสู้กันสักตั้งว่าจะกินกันได้กี่จาน คือซูชิที่ราคาถูกมากของที่นี่ยังไงก็อร่อยกว่าซูชิแพงๆ บ้านเราว่ะ



:: วิธีการกินซูชิสายพานฉบับไม่มีสาระ ::

1
 เดินเข้าไปนั่งในร้านที่นั่งที่พนักงานพาไป 

2
ตรงหน้าเราจะมี ตะเกียบ, ถ้วยสำหรับใส่โชยุและวาซาบิ, กระปุกผงชาเขียว, กระปุกใส่วาซาบิ (บางร้านเป็นห่อเล็กๆ บางร้านเป็นกระปุกใหญ่ใช้ช้อนตักแบ่ง), ก๊อกสำหรับกดน้ำร้อนสำหรับชงชาเขียว (ร้านที่ญี่ปุ่นส่วนมากถ้าเราไม่ได้สั่งน้ำอะไรพิสดารจะมีบริการน้ำฟรีค่ะ) บางร้านจะมีแก้วน้ำตั้งไว้ให้ แต่บางร้านจะนำมาให้พร้อมเสิร์ฟพร้อมผ้าเช็ดมือ และบางร้านจะมีจุดวางแก้วน้ำเดินไปหยิบกันเอาเองนะจ๊ะ

3
นั่งเสร็จก็จัดการตัวเองกันเลยจ้าาาา ชงชาเขียว, ผสมวาซาบิกับโชยุ แต่จะบอกว่าในซูชิที่ไหลๆ มาส่วนมากเค้าป้ายวาซาบิเล็กๆลงมาบนข้าวแล้ว จะจิ้มก็ระวังกันนิดนึงโน๊ะ จิ้มจึ๊ก จิ้มจึ๊กนี่จี๊ดขึ้นสมองกันเลยทีเดียว ฮ่าๆๆ 

4
รอหยิบซูชิหน้าที่เราต้องการให้ไหลมา .... ราคาปกติจะอยู่ที่ประมาณ 140 เยนค่ะ(ประมาณนะคะ) ให้ดูจากสีจาน ถ้าใช้ปลาที่แพงขึ้นมาหน่อยก็อาจจะ 250 เยน หรือ 350 เยน อะไรก็ว่ากันไป สำหรับร้านนี้จานสีน้ำเงินจะถูกสุด และเป็นจานสีแดง สีขาวแพงขึ้นมาตามลำดับค่ะ ในระหว่างที่เอ็นจอยซูชิอยู่นั้นอาจจะมีพุดดิ้งหรือไก่ทอดหรือของกินเล่นอื่นๆ ไหลมาให้หยิบจะมีราคาแปะมาให้ด้วย ก็เลือกกินกันตามอัธยาศัยนะคะ

5
ใน 1 จานจะมีซูชิ ชิ้นโตๆ 2 ชิ้น กินเสร็จก็กองไว้ด้านหน้าเราค่ะ ตอนคิดเงินพนักงานจะมานับจำนวนจานที่เรากินไป นี่ไปกินไม่เคยเกิน 1500 เยนซักครั้งคุ้มจริงๆ 
และท้ายสุดเราไม่ควรนิสัยเสียโดยคิดว่าไม่ได้มีพนักงานยืนคุมคือกินแต่หน้าปลาดิบแล้วทิ้งข้าวไว้ อย่าได้ทำเหี้ยแบบนั้นนะ

หลังจากกินเสร็จพวกเราควักเงินจะจ่ายเคย์จังห้ามไว้บอกว่ามื้อนี้ขอเลี้ยงเองทุกคนอุตส่าห์มาหาเค้าถึงที่นี่ เค้าขอเลี้ยงขอบคุณ

นี่ก็ขอบคุณเช่นกันนะคะเคย์เซมปัยยยยยย









กินเสร็จเราจะไปปราสาทโอซาก้ากันต่อ เราเคยมาแล้วรอบนึงแต่เจ้าอ้วนกับยลซ ยังไม่เคยมาเลยอยากมาให้เห็น เคย์จังพาพวกเราไปซื้อตั๋ววันราคา 600 เยน ใช้ได้กับทุกสายยกเว้นเจอาร์ อาจจะต้องเดินไกลบ้าง เปลี่ยนสายรถบ่อยๆ บ้างแต่ก็นับว่าเราใช้เดินทางกันคุ้มมากทีเดียว

บ่ายมากแล้วพวกเรามาถึงปราสาทโอซาก้า โคตรร้อนเลยห่าเอ้ยยย!!! และคนก็เยอะอย่างหนอนเลย นี่ต้องรีบวิ่งไปซื้อนำ้แข็งไสกิน แล้วน้ำแข็งไสญี่ปุ่นอะ มันง่อยมากเลยนะมันไม่ได้มีเครื่องขนมปังหรือลูกชิด หรืออะไรต่างๆ ให้เลือกใสาแบบบ้านเราไง มันน้ำแข็งล้วนราดน้ำหวานจิ๊ดนึง ฮ่าๆๆ 300 เยน (ขอร้องอย่างคิดเป็นเงินไทย) มันร้อนไงน้ำเปล่าเอาไม่อยู่














เดินรอบๆ ปราสาทสักพักก็ออกมากันไม่ได้เข้าไปในตัวปราสาท (จ่ายประมาณ 400 เยน) เดินไปเรื่อยๆ ไปหาสถานีรถไฟที่ใช้ตั๋ววันได้เดินก็เหงื่อซกไกลพอสมควร เราจับรถไฟไปต่อกันที่ Doutonburi อีอ้วนอยากเห็นป้ายกลิโกะอีกแล้วววววววว คือเราเห็นมาแล้วไง ฮีมาครั้งแรกก็เลยพามา 
เราไปหาโทมี่กันก่อนนัดกันไว้ที่ห้างแห่งนึงแถวๆ สถานีนั้นแหละแวะไปเข้าห้องน้ำกันด้วย พอเจอโทมี่แล้วพวกเราก็เดินกันต่อไปที่ป้ายกลิโกะ เช่นเคยมาถึงแล้วพบว่าคนเยอะอย่างหนอน ฮ่าๆ ๆ 
ด้วยความสงสัยอีอ้วนเลยถามไปว่าทำไมคนต้องมาถ่ายรูปกับป้ายนี้ มีประวัติอะไรน่าสนใจพวกญี่ปุ่นบอก ไม่รู้อ่ะไม่รู้ทำไมคนถึงชอบมาเหมือนกัน นี่แอบเงิบเลย เอออ นั่นดิจะฮิตมาถ่ายรูปกันทำไมว่ะไม่มีเหตุผล

เสร็จปุ๊บก็ชวนกันถ่ายหน้ากลิโกะกัน 1 รูป ถถถถถถ

จะแอบบอกทริคเล็กๆ ให้เวลาไปถ่ายกะป้ายกลิโกะ คือบนสะพานมันเป็นมุมมหาชนมาก ถ่ายที่ไรมันติดคนมาทุกที แนะนำให้เดินลงมาตรงคลองค่ะมันจะมีมุมนึงที่เราสามารถถ่ายกับป้ายนี้ได้ชัดเหมือนกันไม่ติดคนเราถ่ายมาแล้วลองดู 








เสร็จจากป้ายกลิโกะแล้วเราก็เดินหาอะไรกิน (จริงๆ เดินหาเหล้า) เคย์จังพาเดินมาที่ศาลเจ้าแห่งนึงเค้ามีความเชื่อว่าให้ตักน้ำในถังรดไปที่ตัวพระแล้วชีวิตเราจะได้รับพร (อย่าเรียกว่ารดน้ำค่ะ เรียกสาดดีกว่าเพราะพระอยู่ไกลจากระยะราดมาก ถ้าไม่สาดไปน้ำไม่ถึงแน่) 
สักพักนึงน้ำในถังหมดเคย์จังหยิบถังน้ำไปปั้มน้ำจากบ่อข้างๆ ศาลเจ้าแล้วถือไปวางไว้ที่เดิม นักท่องเที่ยวปรบมือให้ใหญ่เลย เพื่อนข้าหล่อป่ะล่าาาาาาา


เสร็จแล้วก็ได้เวลาเดินหาเหล้า เอ้ยย !! ข้าวกินกันซักทีนะ

ทุกคนแม่งหันมาถามกูอีกแล้วววววววว 
ว่าอยากกินไร 
Izakaya (บาร์แบบญี่ปุ่น) ก็ด่ะ!!!!
คือในสมองเรามีแต่อิซากายะ 
ก็มันไม่แพงนะแกกกกกก 




















เคย์จังเจ้าพ่อโอซาก้าพาเดินมาที่ร้านแห่งนึง ถ้ามองเผินๆ เหมือนร้านซ่อมรถ คือถ้าอ่านภาษาญี่ปุ่นไปออกก็อดแดกอ่ะ
แต่พอเดินเข้าไปมันจะเป็นร้านเหล้าแบบบ้านๆ มีป้าลุงเจ้าของร้านทำงานกันอยู่สองคน และลูกค้าส่วนมากเป็นผู้สูงอายุค่ะมานั่งมอยกัน ประมาณสภากาแฟไรงิ....

ที่สำคัญเลยร้านแบบนี้ไม่แพง รูปลักษณ์ภายนอกไม่สำคัญ สำคัญเลยคือได้นั่งมอยกับเพื่อนนานๆ ได้นั่งมอยกะคุณลุง คุณป้าโต๊ะข้างๆ ดั่งคำที่ว่า ข้าพเจ้ามิได้ชื่นชอบรสชาติสุรา (หราาาา) แต่ข้าพเจ้าชื่นชอบบบรยากาศการร่ำสุรา (จบสวยๆ)








ร้านแบบอิซากายะจะเป็นอาหารมาเป็นจานเล็กๆ สั่งมาเป็นกับแกล้มตกจานละประมาณ 200-300 เยน เมนูโปรดเราจะเป็นเนื้อต้มมันฝรั่งหรือคอนยัคกุ (บุก) ก็ได้ เข้มข้นอร่อยมาก เมนูนี้อร่อยที่สุดที่เคยกินคือที่แผงลอยตลาดอะเมโยโกะที่โตเกียว หลังจากนั้นก็ไม่เคยเจอเมนูนี้อีกเลยเจอแต่คล้ายๆ เท่านั้น

ข้อดีของอิซากายะคือเหล้ากับเบียร์ไม่แพงค่ะ เราชอบสั่งเป็นพวกชูวไฮ เป็นน้ำผลไม้+เหล้า+โซดา ราที่ชอบคือรสพีช สีชมพูหอมหวลชวนดื่ม และสามารถทำให้เมาได้อย่างไม่รู้ตัว 

นั่งมอยกันรำลึกความหลังตามประสาวัยรุ่น (นี่รู้จักกันมา 6 ปีแล้วนะ เร็วจัง) นอกจากพูดถึงความหลังแล้วเราก็พูดถึงอนาคตกันด้วย อายุไม่ใช่น้อยๆ แล้วเนอะ อายาริวางแผนไว้ว่ากลางปี 2016 นางจะไปเวิร์คแอนด์ทราเวลที่เยอรมัน คงไปประมาณปีนึง ยังไงถ้ามีโอกาส (เรียกว่ามีตังเหอะเนอะ) เราคงได้ไปเจออายาริก่อนนางจะไปเยอรมัน













งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา คืนนี้เรากับเจ้าอ้วนต้องกลับโตเกียวแล้ว รถบัสเราเป็นรอบ 5 ทุ่มต้องไปขึ้นที่ตึก Umeda Sky Building ซึ่งเคย์จังพาเดินไปจากร้านประมาณ 30 นาที เรียกว่าเดินกันเหงื่อไหลเลย


เกลียดๆๆๆๆๆ โมเม้นท์การบอกลา เกลียดๆๆๆๆ การกอดกันแล้วร้องไห้ แต่เอาเนอะ เดี๋ยวก็ได้กลับมาเจอกันอีกแล้ว ไทยกะญี่ปุ่นมันห่างกันแค่ 6 ชั่วโมงบินเอง 

เดินออกมาจากตึก หันหลังกลับไปมองพวกเพื่อนๆ มันยืนเกาะกระจกโบกมือให้ นี่ร้องไห้เป็นเด็กเลย ไม่อยากกลับอยากอยู่กะเพื่อน หันไปเจออีอ้วนน้ำตาซึมอยู่จ้าาาา ถามว่าร้องทำไม ฮีบอกก็เพื่อนเธอทุกคนเป็นคนน่ารักและใจดีมากๆ เลยประทับใจ 

เห็นป่ะล่าา ~ บอกแล้วว่าเพื่อนข้าน่ารัก 




ไนท์บัสพาเรามาถึงคาวาซากิตอน 7 โมงเช้า วันนี้เป็นวันหยุดพิเศษคนในสถานีออกไปเที่ยวกันเยอะมาก เราจับรถไฟครึ่งชั่วโมงก็มาถึงโยโกฮาม่า นั่งหลับมาตลอดทาง

ถึงบ้านอาบน้ำ

~นอน~





Japan Summer 2015 : Kawasaki tours - เดินเล่นไปในคาวาซากิ




หลังจากออกจากโดราเอม่อนมิวเซียมแล้ว เราจะไปต่อกันค่ะ เดินย้อนกลับออกมาทางเดิมที่จะไปสถานี แต่พอถึงทางแยกให้เรามองขึ้นไปที่ป้ายบอกทางด้านบนค่ะ ไปสถานีจะต้องไปทางขวาแต่เราไปซ้ายโลดดดดด เดินตามป้ายบอกทางไปเรื่อยๆ 

ซักประมาณ 10-15 นาที (ตามขนาดความยาวของขา) เราจะเจอสถานที่ที่เรียกว่าภูเขา 1 ลูก และที่ที่เรามาวันนี้จะรวมอยู่ในพื้นที่ภูเขาลูกนี้ค่ะ ฮ่าๆๆ 







สถานที่แรกตรงหน้าทางเข้าคือ Nihon Minkaen เป็นบ้านแบบญี่ปุ่นโบราณ (จะคล้ายๆ กับที่ชิราคาวาโกะแต่เล็กกว่า) ค่าเข้าน่าจะประมาณ 500 เยน แต่เราไม่ได้เข้าไปเพราะฝนตกหนักมาก เข้าไปคงไม่ค่อยเห็นอะไร แถมไม่ใช่แนวเราด้วย เลยเดินต่อไปที่ต่อไป




เราเดินตามทางมาเรื่อยๆ ทางเดิม ภูเขาลูกเดิม วันนี้คนน้อยเพราะฝนตกแถมเป็นวันทำงานด้วยนักท่องเที่ยวก็ประปราย บอกเลยว่าอยู่คนเดียวบนภูเขามันน่ากลัวมาก วังเวงใช้ได้เลยละ

เราเดินจาก Nihon Minkaen มาซัก 10 นาทีก็เจอพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ อันนี้ก็ไม่ได้เข้าไปดูเหมือนกัน แต่เอามาเขียนไว้เผื่อใครสนใจอยากลองมา









ในตึกของวิทยาศาสตร์มีหอดูดาวด้วย และข้างๆ เป็นสวนพฤกษศาสตร์ ยาวประมาณ 500 เมตรได้ มีชื่อพืช คุณประโยชน์ทั้งภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษ วันนี้ไปเจอแต่ใบกับฝนที่โปรยปราย ถ้ามาช่วงออทั่ม หรือสปริง อาจจะเห็นดอกไม้สวยๆ ก็เป็นได้ค่ะ





ข้างๆ สวนพฤกศาสตร์จะมีโบกี้รถไฟเก่าอยู่โบกี้นึง เราคิดว่าเค้ามาตั้งไว้เพื่อการศึกษาไรงี้ เดินผ่านเห็นคนนั่งอยู่ในโบกี้ ตกใจ!! คนใช่ไหมนั่น ไม่ลบลู่แต่ตรูจะไปพิสูจน์ 
เราค่อยๆ เดินมาด้านหน้ารถไฟ เห็นมีเขียนทางออก ทางเข้าก็แสดงว่ามันขึ้นไปดูได้ก็เลยขึ้ไปพิสูจน์ให้เห็นกับตากันไปเลย
ปรากฏว่าพอขึ้นไปเห็นอีกประมาณ 2-3 คนนั่งอยู่บางคนกินข้าวกล่อง บางคนอ่านหนังสือ อืมมม ที่พักผ่อนสินะ สรุปไม่มีเรื่องชวนให้ขนลุก เลยเดินลงมา ฮ่าๆๆ





เราเดินตามถนนมาสักแป่บ ถนนสายนี้จะพาเราเข้าสู่ป่าและมีลำธารน้ำ ด้วยความที่ไต้ฝุ่นกำลังเข้าทำให้น้ำในลำธารไหลแรงมาก บวกกับทางเดินเปลี่ยวด้วยน่ากลัวอีกแล้ว คือถนนเส้นนี้ ตอนนี้มีเราเดินอยู่คนเดียว





เรากลั้นใจเดินมาสักพักก็มาถึง Taro Okamoto museum of arts Kawasaki และที่นี่คือเป้าหมายจริงๆ ของเรา 
เราอยากมาเห็น Tower of mother ซึ่งเป็นผลงานการออกแบบของอจ. ทาโร่นี่แหละ ซึ่งเราเคยไปดู Taiyou no tou หรือ Tower of sun ที่โอซาก้ามาแล้ว (ซึ่งเป็นผลงานของอจ. ทาโร่เช่นกันอยู่ในการ์ตูนเรื่อง twenty century boy) วันนี้เลยเลยขอมายลอีกผลงานนึงของอจ. 








เราว่าผลงานของอจ. ทาโร่นี่ออกจะคล้ายๆ กันนะ คือเหมือนมองงานปุ้บก็จะรู้เลยว่าอันนี้เป็นงานของอาจารย์มันจะมีสัญลักษณ์บางอย่างที่ทำให้เราสัมผัสได้ว่านี่ออกแบบโดยอาจารย์ไรงี้ 
เหมือนเราอ่านหรือดูการ์ตูนเราจะคุ้นลายเส้นว่าอันนี้ของฟูจิโอะเซนเซย์ หรืออันนี้ของมิยาซากิเซนเซย์ประมาณนั้น






เหมือนเคยไม่มีขาตั้งกล้อง ไม่มีไม้เซลฟี่ กล้องหน้าจับเวลาเองก็ได้ฟร่ะ !!
แล้วเราก็ได้รูปคู่กับ Tower of mother เย้!!














ได้เวลาบอกลาคาวาซากิกันแล้ว เราเดินกลับออกมาทางเดิมค่ะ ฝนยังคงตกอยู่ เดินเรื่อยๆ 20 นาทีก็ถึงสถานีแอบงง รถไฟเล็กน้อย จริงๆ ต้องนั่ง express ดันไปนั่ง local ซะงั้นเสียเวลาไปเปล่าๆ แต่ช่างมันถือเป็นประสบการณ์ (หึหึหึ ได้ข่าวว่านั่งผิดตลอด)




เรากลับถึงบ้านประมาณ 5 โมงทำกับข้าว เก็บเสื้อผ้าคืนนี้จะไปเกียวโตละค่ะ


To be continue....