11/16/15

Japan Summer 2015 : Tempura Party - กินข้าวบ้านอายาริ




เรามาถึงบ้านอายาริกันประมาณ 6 โมงเย็น เรามีนัดกันสำหรับเวลคัมปาร์ตี้คืนนี้ 

ก่อนเราจะมาญี่ปุ่นอายาริไลน์มาถามว่าอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม ม่าม้าจะได้ทำให้กิน ซึ่งมีช้อยส์มาให้เลือกหลายอย่างมาก เทมปุระ, ซูชิ, ซาชิมิ, ชาบู, สุกี้ ตอนแรกก็คิดนะ กินไรดีว่ะ มันเลือกยากนะแกกกกก คือต้องเลือกอะไรที่กินกับเหล้าแล้วมันเข้ากันไง แกจะกินผักทอดกะเบียร์เหรอออออ ถามหน่อย

แต่เอาจริงๆ นะญี่ปุ่นมันกินทุกอย่างกับเหล้าได้จริง ถ้าไปพวกร้านอิซากะยะ (บาร์แบบญี่ปุ่น) จะพบว่า กะหล่ำปลีสดจิ้มโชยุ แม่งก็กินกะเหล้าได้ (3 ใบ 300 เยน น้ำตาจะไหล) มะเขือเทศ หั่นสดๆ แม่งก็กินกะเหล้าได้ ซึ่งอายาริชอบกินมาก (เรานี่กินผักสดกับเหล้ามาทุกอย่างแล้วญี่ปุ่นแม่งพากิน 55555) 

เพราะฉะนั้นแล้วการเลือกเทมปุระแกล้มเหล้ามันจะแปลกอะไร ใช่ม่ะ?? แปลกกว่านี้แม่งก็พาตรูกินมาหมดละ 


แล้วเราก็เลือกผักทอดหรือเทมปุระนั่นละจ้าาาาาาาา 














มาถึงก็ล้างไม้ล้างมือช่วยม่าม้าทำอาหารเลย ช่วยอะไรเหรอ ช่วยขูดหัวไชเท้าไว้ใส่น้ำน้ำจิ้มเทมปุระ งานใหญ่มากต้องใช้ฝีมือและกล้ามแขนที่สตรองงงง นี่วิ่งมาวันละ 10 กิโลเพื่อมาขูดอีหัวไชเท้าวันนี้นี่แหละ ได้หัวไชเท้าขูดเยอะเพียงพอแล้ว พร้อมกับกล้ามแขนที่เพิ่มขึ้น เราก็ไปนั่งดู เอ้ย !! ไปช่วยม่าม้าทอดเทมปุระต่อ 

สำหรับเมนูผักทอดวันนี้ มีกระเจี๊ยบ มันหวาน มะเขือม่วง แครอท หัวหอมใหญ่ 
เมนูเพิ่มความอิ่มท้องมีซูชิ ปกติเราเห็นซูชิแบบญี่ปุ่นมันจะมีแค่ห่อสาหร่ายใช่ไหมคะ แต่อันนี้จะเป็นซูชิแบบข้าวมาเป็นจานเลยผสมเครื่องปรุงต่างๆ ซึ่งรสชาติก็เหมือนซูชิข้าวปั้นที่เรากินนั่นแหละเพียงแต่มันไม่ได้ห่อมาในสาหร่ายอย่างที่เราๆ คุ้นตากัน

มันมีซูชิที่ห่อในใบไม้ด้วยนะทาโร่เคยเอามาให้กินมันใบอะไรไม่รู้ค่ะ คล้ายๆ ใบตอง เปิดออกมาก็มีข้าวกับปลาโปะมา รสข้าวก็ซูชินั่นแหละ










นอกจากนี้ยังมีปีกไก่ทอดสูตรคุณแม่ คือไก่ทอดธรรมดานี่แหละ แต่ทอดเสร็จม่าม้าให้เราเอาไก่ลงไปคลุกในซอสทันที (ซึ่งนี่ก็ไม่รู้ว่าเค้าใช้ซอสอะไร 5555) เสร็จแล้วเอาขึ้นมาไปคลุกงาต่อเลยค่าาาาา ร้อนมือพองไปตามๆ กัน 
และกับแกล้มสำหรับขี้เหล้าก็มีเอดะมาเมะ (ถั่วแระญี่ปุ่น) ชามโต ม่าม้าคิทเช่นเติมฟรีไม่มีอั้น 













หลังจากอาหารทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยเราก็นั่งกินกัน อยากตะโกนว่า

เทมปุระอร่อยมากกกกกกกกกก!!!!!!!


คือผักญี่ปุ่นอ่ะมันอร่อย มันหวานด้วยตัวของมันอยู่แล้ว มาเจอบิ๊กเชฟอย่างม่าม้าอีก หือออ อร่อยคูณร้อยอ่ะ นี่ฟาดทุกอย่างเรียบภายในพริบตาเดียว









หลังจากทำอาหารเสร็จแล้วขี้เหล้าก็เฝ้าล้อมวง เราเอาเบียร์ไทยมาด้วย ส่วนยูเลียซังก็ซื้อเบียร์จากคอนบินิมาเพิ่ม ม่าม้าก็เอาเหล้าบ๊วยที่หมักเองกับมามาแจม (บ้านอายาริจะปลูกต้นบ๊วยไว้พอออกลูกม่าม้าจะเก็บมาทำเหล้าบ๊วย) โหลที่ม่าม๊าหยิบออกมาให้เรากินคือหมักมา 5 ปีแล้วค่ะ อร่อยมากกกกก ดูดลูกบ๊วยเมาตาเยิ้มไปตามๆ กัน 


ตอนนี้ยังมีเหลือประมาณ 5 โหลมั้งนะ ม่าม้าบอกโหลถัดไปก็สำหรับปูจังมากินรอบหน้าพอดี (วันรุ่งขึ้นม่าม้าก็กรอกเหล้าบ๊วยใส่ขวดน้ำให้เราเอากลับมากินที่ไทยด้วย อิอิอิ)

รอบที่ผ่านๆ มามาคนเดียว รอบนี้พานังอ้วนมาด้วย ทุกคนเอาใจนางงงงงงง นางน่ารัก น่าตลก ฉันกลายเป็นหมาหัวเน่า !!!!!!! ทุกคนบอกปูจังเธอต้องทำตัวดีๆ กับมิสเตอร์เอนะ อย่าดื้อล่ะ ห๊ะ ?!?!? สร้างภาพเก่งนะอีอ้วนนนนน 

 



เรานั่งดื่มกันถึงประมาณตี 1 ยูเลียซังนอนบ้านอายาริ ส่วนเรากับนังอ้วนกลับ อายาริมาส่งขึ้นแท็กซี่ พรุ่งนี้นัดกันไปเที่ยวโอซาก้า เจอกัน 9 โมงเช้านะก๊ะ 

โอ้ยเมาเหล้าบ๊วย 








11/15/15

Japan Summer 2015 : Arashiyama 2nd times - เดินดูสวนสวยที่ Ohkohchi Sansou



เกียวโตฝนไม่ตกแล้วววววว

วันนี้เรามีนัดกับยูเลียซังจะไปอาราชิยามะกันนัดกันไว้ประมาณ 11 โมง แต่ปรากฏว่ารถไฟดันหยุดวิ่งซะงั้น(เพราะบางพื้นที่ยังมีฝนตกหนักอยู่) แถมยังไม่รู้ด้วยว่าเมื่อไหร่จะกลับมาวิ่ง เอาไงดีบัสก็ไม่เคยนั่ง แถวนี้ก็มากันครั้งแรก เอาว่ะ!! เห็นบัสคันไหนเขียนว่าไปอาราชิยามะก็โดดขึ้นคันนั้นก็แล้วกัน (น่าจะ) ไม่ยาก หึหึหึ  อ่านจากป้ายรถเมล์เขียนว่าสายไหนไปอาราชิยามะบ้าง ก็รอ (แต่ที่นัดยูเลียซังไว้ก็เลทแล้วละ) สักพักรถบัสก็มาเรามองเห็นหน้ารถเขียนว่าอาราชิยามะก็ขึ้นเลย แล้วให้อ้วนเปิดกูเกิ้ลแมพไปด้วย ถ้าเห็นท่าไม่ดีขึ้นผิดฝั่งจะได้โดดลงง่ายๆ แฮะๆๆ
นัดยูเรียซังไว้เที่ยง แต่มาถึงบ่ายโมงรีบโทรหายูเรียซังก่อนเลยอันดับแรก ยลซ มาถึงสักพักนึงแล้วรอเราอยู่ที่สถานีรถไฟ จะมัวรออะไรก็ไปหายลซ กันสิคร้าบบบ!!!


















จากไต้ฝุ่นเมื่อวานนี้ทำให้น้ำตรงสะพานโทเก็ตทสึเคียวขึ้นสูงมาก แล้วน้ำก็เป็นสีข้นเลยไหลแรงด้วยน่ากลัวมาก กลัวสะพานจะพัง เราเคยมาอาราชิยามะครั้งนึงตอนช่วงฤดูหนาว น้ำน้อยเลยละ ใสแจ๋ว เดินเอามือไปกวักๆ เล่นเย็นเจี๊ยบ มาวันนี้ต่างกันลิบลับ   ครั้งก่อนที่เรามานักท่องเที่ยวยังไม่เยอะขนาดนี้ส่วนมากเจอแต่คนญี่ปุ่นแบบบางตา มารอบนี้ทัวร์มหาศาลล้านแปดมากไม่ใช่เฉพาะทัวร์จีนอย่างเดียวนะ ได้ยินทั้งคนไทย คนเวียดเลยเสียงดังโฉ้งเฉ้งมาก นี่ถ้าหลับตาเดินจะนึกว่าอยู่วัดพระแก้ว 














หลังจากเจอยลซ แล้วเราเดินเล่ะตามริมน้ำไปเรื่อยๆ ฝนที่ตกเมื่อคืนทำให้ทุกอย่างเขียวชอุ่มมาก แต่ด้วยความที่มันเป็นซัมเมอร์และมันทำให้อึดอัดและอบอ้าวมากค่ะ


ร้อนญี่ปุ่นคือร้อนนรกมากกกกกก ร้อนหายใจกันไม่ออก อย่ามาเทียบกับบ้านเรานะคะ มันร้อนกันคนละแบบ แต่พลังทำลายล้างอาจทำให้ตายได้เช่นกัน


พอเดินเลาะริมน้ำไปแล้วจะเป็นทางขึ้นเขา (เรียกว่ามาที่เดียวได้ทั้งขึ้นเขาลงห้วยเลย) มองเห็นวิวสุดลูกหูลูกตาสวยมาก เขียวชอุ่มอิจฉาความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้

ยลซบอกว่าอยากไปดูที่ที่นึง ชื่อว่า Ohkohchi Sansou  เป็นความฝันที่อยากมาดูเลย เราก็เลยไปด้วย ก็เดินตามไปเรื่อยๆ ถึงทางเจ้าต้องซื้อตั๋วคนละพันเยนจ้าาาาา ตายแพร่บบ แพงเกิน (คือปกติจ่ายค่าเข้าไม่เกิน 500 yen ไง)    ตอนแรกกะว่าจะรอด้านนอกแต่ยลซ แอบเดินไปซื้อตั๋วให้พวกเราเรียบร้อยแล้ว ยลซ บอกว่าเค้าเป็นคนอยากมาดูและขอร้องให้พวกเรามาเค้าขอจ่ายให้เอง ปฏิเสธไม่ได้ค่ะ เพราะไปซื้อมาแล้วแต่ก็ขอบคุณยลซ มากเลยนะคะ
เราซื้อตั๋ว 1 ใบจะได้จิบชายามบ่ายกับคุณชายรณพีร์ ไม่ใช่ !!!! เราจะได้ไปนั่งดื่มชากับขนมแบบเจแปนีสสไตล์ คนละ 1 ที่ค่ะ เค้าจะจัด Teahouse  ไว้ด้านในค่ะ เราไปนั่งดื่มด่ำกันได้


Ohkohchi Sansou จะอยู่ใกล้ ๆ กับ Bamboo Forest ค่ะ (ซึ่งถ้าใครไม่ได้ตั้งใจมาจริง ๆ เราว่าไม่น่าจะหาเจอ) เป็นบ้านและสวนแบบเจแปนีสสไตล์ สวนนี้สร้างโดย Okochi Denjiro นักแสดงชาวญี่ปุ่น สร้างไว้สำหรับพักผ่อนค่ะ (ยลซ เค้าบอกมาแบบนั้น) วิธีการเดินชมสวนนี้เราต้องเดินตามลูกศรไปเรื่อย ๆ ซึ่งแต่ละเส้นทางก็จะผ่านจุดแลนด์มาร์คสำคัญ ๆ เช่นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นวิวเกียวโตได้ เรารู้สึกว่าคนสร้างที่นี่ฉลาดมากค่ะ ใช้พื้นที่ได้อย่างเกิดประโยชน์ และวางแผนเป็นอย่างดีว่าควรจัดวางอะไรไว้ตรงไหน คือวันนึงพอมันกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวมันก็เกิดระบบการเข้าชมที่ดีและเป็นระเบียบได้จริง ๆ 
แต่เราว่าระบบการเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวของญี่ปุ่นส่วนมากเป็นระเบียบอยู่แล้วนะ ต้องชื่นชมเค้าล่่ะประเทศนี้

เราตั้งข้อสังเกตอย่างนึงว่า ที่นี่ ไม่ค่อยมีคนเอเชียเข้ามาชมค่ะ ทั้ง ๆ ที่ด้านนอกมีทัวร์ชาวเอเชียเยอะมากกกกกก เท่าที่เห็นส่วนมากเลยเป็นผมบรอนด์ อันนี้ขอตั้งขอสังเกตจากตัวเองเลยนะว่าทำไมคนเอเชียถึงน้อย 
- อย่างแรกค่าเข้าแพงค่ะ สำหรับคนที่ไม่ได้สนใจเรื่องภูมิศาสตร์ เซน หรือดื่มด่ำกับสวนสไตล์ญี่ปุ่นค่าเข้า 1000 เยนถือว่าแพงนะ (เคยไปวัดเรียวอันจิ ไปนั่งมองหินเสียเงินค่าเข้าไม่กี่ร้อยเยนยังงงเลยว่านี่กูจ่ายเงินมานั่งมองหินทำไมว่ะ) ยิ่งถ้ามากับกรุ๊ปทัวร์ด้วยแล้ว สถานที่นี้คงไม่มีระบุไว้ในโปรแกรมทัวร์แน่นอนค่ะ ขนาดเราเป็นติ่งญี่ปุ่นแท้ ๆ ยังไม่รู้เลยว่าที่อาราชิยามะ มีที่แบบนี้ด้วย ถ้าเที่ยวตามรีวิวอาราชิยามะก็แค่ Bamboo Forest, Togetsukyo, หรือรถไฟสายโรแมนติกแค่นั้นเอง


-  อย่างสองคือเราว่าคนตะวันตกค่อนข้างจะมีความสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับศิลปะ วัฒนธรรม ของเอเชีย (ซึ่งคนเอเชียก็อาจจะชินกับศิลปะชาติตัวเองละนะ) คือเค้าดู หรือศึกษาเค้าก็ทำแบบจริงจัง ยิ่งสถานที่นี้เราว่าคนที่มาคือคนที่หาข้อมูลมาก่อนแล้วและตั้งใจจะมาจริง ๆ ไม่ใช่มาเที่ยวสถานที่ยอดนิยมอะไรแบบนั้น เราสังเกตว่านักท่องเที่ยวหลายคนดูเนื้อไม้ที่สร้างบ้าน ยืนอ่านประวัติต้นไม้ใบหญ้าแต่ละต้นจริงจังมาก 

สุดท้ายเลยใครไปอาราชิยาม่า อยากลองไปสถานที่ใหม่ ๆ แนะนำที่นี่เลยค่ะ Ohkohchi Sansou เรารับลองได้เลยว่าทุกก้าวในสถานที่นี้จะทำให้เราร้อง หู้วววว ได้ทุกย่างก้าวเลยและสวนที่นี่ก็จะเปลี่ยนสีไปในแต่ละฤดูกาลด้วย อย่างใบไม้แดง หรือ ซากุระ เรามาซัมเมอร์ยังสวยเลยค่ะ แนะนำเลยสำหรับค่าเข้าพันเยนถือว่าถูกมาก เราใช้เวลาอยู่ในนี้กันประมาณสองชั่วโมงเรียกว่าดื่มด่ำมาก ต้องขอบคุณยลซด้วยที่พามาเปิดหูเปิดตา 






หลังจากที่ออกจาก Ohkohchi Sansou แล้วเราก็มาที่ Bamboo Forest อย่างที่คาดการณ์ไว้ค่ะ คนมหาศาลล้านแปดเดินอยู่ในดงไผ่ ถ่ายรูปอะไรมาก็ติดแต่คน เลยเปลี่ยนแผนไปที่อื่นกันดีกว่า ยลซ กับเจ้าอ้วนไม่เคยไปวัดทองค่ะ เราไปมาแล้วรอบนึง อ่ะไปอีกก็ได้ ญี่ปุ่นกี่รอบมันก็สนุกอ่ะเนอะ 







เรานั่งรถไฟจากอาราชิยามะมาลงสถานีแถว ๆ คินคาคุจิ แล้วเดินต่อประมาณ 10 นาทีค่ะ และทุกอย่างก็เป็นไปดังคาดหมายคือทัวร์แน่นนนนนนนนน    มากกกกกก อีโล้งโฉ้งเฉ้งกันไปหมด รถทัวร์ก็เยอะ คนก็แยะ ท่องไว้เลยโลว์ซี่ซั่นราคาถูก แม่มมมมม ถ่ายรูปก็ติดแต่คนเต็มไปหมด วินาทีนั้นทำใจอย่างเดียว เอาเหอะมาวัดทองคราใดก็เจอแต่ทัวร์แหละ สถานที่ยอดนิยม 

เราเดินตามเข็มนาฬิกาไปเรื่อยตามสไตล์ญี่ปุ่น (ที่ให้เดินได้ทางเดียว) ไปเสี่ยงเซียมซีแบบเจแปนีสสไตล์มาด้วย สำหรับปี 2015 นี้ถือว่าเป็นปีที่ดีสำหรับเรา อันไหนดีก็เก็บไว้อันไหนไม่ดีไปแขวนไว้ที่ต้นไม้นะก๊ะ  เดินแป่บเดียวร้อนมากกกกกกก ร้อนแบบอึดอัดหายใจไม่ออก (บอกแล้วว่าฤดูร้อนญี่ปุ่นมีพลังทำลายล้างสูงมาก) ยิ่งคนเยอะด้วยไม่ไหวแล้วกลับดีกว่า 







 ยลซ พาเรานั่งรถบัสจากหน้าวัดทองไปลงที่คาวารามาจิ แถวบ้านอายาริเลย คืนนี้เราจะมีปาร์ตี้กัน ม่าม้าจะมีเวลคัมปาร์ตี้สำหรับเรา อิอิอิ คือเรามาเกียวโตทีไรม่าม้าก็จัดเต็มให้ตลอดดดดด 







บล็อกหน้ามากินข้าวกันนนนนน







10/15/15

Japan Summer 2015 : Back to Kyoto - เกียวโตจ้า...ข้ามาแล้ววววว


 
เจ้าอ้วนกลับมาถึงบ้านประมาณ 6 โมงเย็นเก็บกระเป๋า คืนนี้เราจะไปเกียวโตกันค่ะ เจ้าอ้วนจองไนท์บัสของ willer bus เอาไว้ (ยิ่งจองล่วงหน้ามากตั๋วยิ่งถูกมากเราจองล่วงหน้าประมาณ 3 เดือนสำหรับเราจองตั๋วไป กลับ ประมาณ 1 หมื่นเยนต่อคนเท่านั้น สำหรับแบคแพคเกอร์เราแนะนำเลย) ซึ่งเราต้องไปขึ้นรถที่สถานีคาวาซากิตอน 5 ทุ่มครึ่งและเราจะถึงเกียวโตประมาณ 6 โมงเช้า (เหตุที่ต้องไปขึ้นรถที่คาวาซากิเพราะใกล้กับโยโกฮาม่ามากกว่าโตเกียว)

เราออกจากบ้านประมาณ 3 ทุ่มครึ่งและถึงสถานีคาวาซากิประมาณ 4 ทุ่ม มีเวลาประมาณชั่วโมงกว่าเลยไปนั่งกินแมคกัน  ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มาแถว ๆ สถานีคาวาซากิ เราคิดเราคือ แม่งเหมือนกรุงเทพว่ะ ฮ่าๆๆ มันดูไม่มีระเบียบ มันดูไม่ญี่ปุ่นยังไงก็ไม่รู้ ขยะเต็มมมมมม
แต่ว่าแถว ๆ โดราเอม่อนมิวเซียมนี่โอเคเลยนะน่ารัก มุ้งมิ้ง อาจจะเป็นเพราะแถวนี้เป็นสถานีใหญ่ก็ไม่รู้นะ การควบคุมอาจจะยากนิดนึง
 
ประมาณ 5 ทุ่มเราเดินมาขึ้นในซอยข้าง ๆ สถานี เป็นชื่อตึกว่า La Citta Della ลานจอดรถบัสค่อนข้างหายากนิดนึงค่ะ เพราะจริง ๆ มันไม่ใช่สถานีเลย ไม่มีสัญลักษณ์อะไรให้สังเกตได้เลยว่านี่คือที่จอดรถบัส ถ้าเป็นที่โตเกียวเราจะเจอรถบัสกว่า 10 บริษัทจอดเรียงกันพร้อมคนถือป้ายบอกเบอร์รถ แต่ที่นี่เราเจอแค่คน 2-3 คนนั่งอยู่ริมถนน มีแอร์บัสยืนอยู่แค่คนเดียว (ที่แต่งตัวเหมือนพนักงานบริษัท ไม่มีสัญลักษณ์อะไรบอกว่าหล่อนเป็นแอร์บัส)
 
เราเดินไปถามคนที่เราคิดว่าเป็นแอร์บัสเธอก็ยืนยันว่าตรงนี้แหละ เดี๋ยวพอถึงเวลาเธอจะเรียกอีกครั้ง สักพักนึงก็มีบัสของ Willer ขับเข้ามาจอด (แต่ไม่ใช่รอบเรา) รถจอดประมาณ 5 นาทีเท่านั้น ผู้โดยสารขึ้นรถเสร็จรถก็ออกเลยไม่มีร่ำรีร่ำไร ตรงเวลามาก นั่งรอไปสักพักรถรอบเราก็มาล่ะ
 
บัสคันนี้วิ่งมาจากโตเกียวค่ะ เหมือนมารับผู้โดยสารที่สถานีคาวาซากิเป็นสถานีสุดท้ายละ ขึ้นไปบนบัสทุกคนหลับหมดแล้วเป็นกิริยาที่ไม่งามถ้าจะถ่ายรูปนะคะ
 
 
รถวิ่งมาสักชั่วโมงนึงก็จะถึงที่พักรถค่ะ มีบัสจากหลายบริษัทมาจอดพักรถกัน เค้าจะจอดประมาณ 15 นาทีให้เราเข้าห้องน้ำ ซื้อน้ำ ซื้อกาแฟอะไรแบบนี้ (ที่นี้ห้องน้ำอลังการมาก สวยมากใหญ่มาก สะอาดมาก)
ประมาณตี 5 เราตื่นเพราะได้ยินเสียงฝนตกกระทบหลังคารถหนักมาก (ช่วงนี้ไต้ฝุ่นเข้าด้วย ฮือออ) แต่ไม่ได้เปิดม่านออกไปดูนะเพราะเดี๋ยวแสงลอดเข้ามา เพราะส่วนมากยังหลับอยู่ค่ะ
แต่มีเรื่องอยากเม้าท์ เบาะด้านหน้าเราประมาณ 4 คนมาเป็นครอบครัว (พูดไทยชัดแจ๋วเลย ฮ่าๆ) ตื่นมาเปิดม่าน ถ่ายรูป เซลฟี่เสียงดังมาก แล้วเรานั่งอยู่เบาะถัดมาพอดี แสงเข้าตาเราเต็ม ๆ เลย เราหันไปมองจิกตาไปครั้งนึงคือไม่มีมารยาทอ่ะ ถึงแม้คนอื่นจะตื่นแล้วแต่ก็ไม่ควรส่งเสียงดังนะ เข้าเมืองตาหลิ่วก็ไม่หัดหลิ่วตาตามเลย เราหันไปบอกอีอ้วน ไทจิน เฮ้อออ

ประมาณ 6 โมงบัสก็มาถึงสถานีเกียวโตฝนยังคงตกอย่างหนักและพยากรณ์อากาศบอกว่าฝนยังคงจะตกทั้งวัน ฮือออ มาผิดเวลาโดยแท้ -__- 




 
ที่นั่งบัสของเราเป็นแบบนี้ค่ะ ถ้าตื่นแล้วก็เก็บม่านบังตาขึ้น (เครดิตรูปจากกูเกิ้ล)
 

 
 
 

**ตัดภาพมาที่เกียวโต**

เราจับรถไฟจากเกียวโตเอกิ ไปลงที่สถานีแถว ๆ วัดคินคาคุจิ (จำสถานีไม่ได้แล้ว) เราจะไปนอนที่บ้านของทาคุยะ (แฟนอายาริ) สาเหตุมาจากว่าบ้านอายาริมีฟุตง (ที่นอนแบบญี่ปุ่น) แค่ 1 อันไม่พอสำหรับเราสองคนเลยเปลี่ยนให้เราไปนอนบ้านทาคุยะ แล้วทาคุยะไปนอนบ้านอายาริแทน
 
ไปถึงสถานีแล้วทาคุยะมายืนรอรับที่หน้าทางเข้าสถานี นี่เป็นการเจอกันครั้งแรกของเจ้าอ้วนกับทาคุยะ โชคดีที่เจ้าอ้วนพูดภาษาญี่ปุ่นได้การสื่อสารกับทาคุยะเลยไม่ใช่ปัญหาอะไร แต่ทางที่ดีที่สุดคือเราสองคนต้องพูดภาษาอังกฤษกับทาคุยะให้มากที่สุดเพื่อช่วยฝึกภาษาอังกฤษให้ทาคุยะด้วย
 
มาถึงอพาร์ตเม้นท์ของทาคุยะเป็นห้องขนาด 20 ตรม. มีครัวมีห้องน้ำในตัว แต่ผู้ชายคนเดียวอ่ะเนอะ ห้องขนาดนี้ก็อยู่ได้ไม่มีปัญหา
 
อายาริมาเล่าให้เราฟังทีหลังว่าก่อนเราจะมาทาคุยะทำความสะอาดบ้านใหม่หมดซื้ออุปกรณ์ห้องน้ำใหม่ ซื้อผ้าห่มใหม่เรียกว่าใหม่แกะกล่องทุกอย่าง แม้กระทั่งตู้เย็นที่ไม่เคยมีกาแฟก็ซื้อกาแฟมาติดตู้เย็นไว้ให้เราสองคน โถถถถถ น่ารักที่สู้ดดดดน้องทาคุยะจังของพี่ :))
 
 



 
 
 
วันนี้พยากรณ์อากาศบอกว่าฝนจะตกทั้งวัน (ซึ่งก็ตกทั้งวันจริง ๆ) และตกหนักมาก เราถึงขั้นต้องเปลี่ยนเป็นรองเท้ากันฝนที่บ้านอายาริไม่งั้นรองเท้าเราเละตุ้มเป่ะแน่ ๆ
หลังจากทาคุยะบอกเราเรื่องต่าง ๆ ภายในบ้านแล้วประมาณ 10 โมงก็ออกไปทำงาน และเราจะเจอกันอีกทีที่ไหนซักแห่งตอนค่ำ ๆ
 
ส่วนเรากับเจ้าอ้วนนัดกับอายาริไว้ประมาณเที่ยงที่บ้านอายาริ แต่ปรากฏว่าหลงทางด้วยบวกกับฝนตกหนักทำให้การเดินหารถบัสช้าลงไปอีก ทำให้เลทไปเกือบบ่ายโมง แต่ก็มาถึงบ้านอายาริอย่างปลอดภัย
เรานั่งพักทักทายม่าม้ากันพอหอมปากหอมคอก็ออกไปเที่ยวกันต่อ เจ้าอ้วนอยากไปศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (ซึ่งเราเคยไปแล้ว) ครั้งนี้เลยพาเจ้าอ้วนไป 
 
ปรากฏว่าฝนตกหนักมาก และทัวร์จีนก็เยอะมากเช่นกันจ้าาา ฝนตกหนักแบบนี้พี่ควรนอนผึ่งพุงอยู่โรงแรมกันไหมคะ ออกมาตากฝนให้ลำบากทำไมมมม แล้วคิดดูนะเราเดินลอดเสาโทริอิแบบต้องต่อแถวค่อย ๆ เดินอ่ะ คนมันเยอะขนาดนั้นจริง ๆ
 
ฝนก็ตก ร่มก็ต้องกาง อากาศก็ร้อนอบอ้าว มันเละเทะเฉอะแฉะไปซะหมด เฮ้อออ ไม่ไหว ๆ ไปหาเบียร์กินดีกว่าเนอะ ^:^
 
 
 


 
 
 


 
 
ระหว่างทางอายาริโทรหาทาโร่เพื่อนยาก ทาโร่วางงานทุกอย่างรีบบึ่งจากโอซาก้ามาหาเราทันที ซึ้งใจเพื่อนมาก ประมาณชั่วโมงนึงเราก็เจอกับทาโร่ คำถามแรกจากเด็กหญิงอายาริผู้รู้ใจเพื่อน กินข้าวหรือกินเหล้าอะไรก่อนดี ฮ่าๆๆ แน่นอนทุกคนคอแห้งเราต้องการน้ำ
 
อายาริพาเราไปร้านเบียร์ของคิริน ซึ่งเป็นบาร์ของคิรินเลย เราไม่แน่ใจว่าชื่อร้านอะไร ฮ่าๆๆ (ร้านอยู่ตรง Teramachi ) มีเบียร์หลายแบบมาก เรานี่ลองทั้งเบียร์ดำ เบียร์ธรรมดา เราสั่งเบียร์ดำไปแก้วแรก ไม่ไหวอ่ะขมเกินไป สาววัยกระเตาะมันต้องกินเบียร์ออริจินัลนะ หลังจากหมดเบียร์ดำแก้วแรก แก้วที่สอง สาม สี่ ก็ตามมา เดินเซกันเลยทีเดียว
 
หมดกันไปสองแก้วเพื่อนเราก็ตามมาอีกมีโมโร่ กับ ฮารุนะ (แฟนโมโร่) อีกพักใหญ่ๆ ยูเรียซังก็มาสมทบ ยูเรียซังมาจากคานาซาว่า มาดูงานศิลปะ และบังเอิญโชคดีเป็นช่วงที่เรามาเกียวโตพอดีเลยได้เจอกัน
(ยูเรียซังคือคนที่ใส่กิโมโนให้เราตอนไปคานาซาวะ)
 
 



 
 
 


 
 
หลังจากกึ่ม ๆ ได้ที่แล้วเพื่อนถามปูจังอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมเดี๋ยวพาไป อีนี่ตอบแบบไม่ต้องคิดเลย พากูไป Izagaya โหน่ยยยยยยยย ( Izagaya คือบาร์แบบญี่ปุ่น) คือเราชอบร้านสไตล์อิซากายะมากกกกกกก (ก ไก่ล้านตัว) มันชิวอ่ะ ไม่แพงด้วย นั่งเม้ามอยนานๆ ก็ได้ไม่มีใครมาไล่ แถมอีกอย่างคือมีเหล้ากับเบียร์หลายแบบมาก
ในไทยเรายังไม่เคยลองอิซากายะ แต่มันคงคนละอารมณ์กับญี่ปุ่นอ่ะ แค่การบริการเราก็ว่าต่างกันแล้ว เราชอบไปร้านที่ลุง ๆ ป้า ๆ เป็นเจ้าของร้านเพราะลูกค้าส่วนมากก็จะแบบเป็นลุง ๆ ป้า ๆ เพื่อน ๆ มานั่งคุยกัน คุยกันสนุกดีถึงแม้ว่าจะคุยไม่รู้เรื่องก็ตาม อย่างที่เคย ๆ ไปมาหลาย ๆ คนรู้ว่าเราเป็นไกจินก็ชอบชวนคุยใหญ่เลย คนญี่ปุ่นนี่เค้ารู้คำทักทายภาษาไทยเยอะนะ สวัสดี ขอบคุณ อร่อย บลา บลา บลา
 
 
 


 
 
เพื่อนพาเรามาร้านแถว ๆ คาวารามาจิ ชื่อร้าน Ekohiiki เป็นร้านแบบมีสไตล์มากค่ะ  เป็นร้านแบบเสียงดังโหวกเหวกโวยวาย พนักงานชายหน้าตาดี พอเค้าเสิร์ฟเครื่องดื่มให้เราครบทุกคนแล้วเค้าจะมานำเราชนแก้วค่ะ มีเหมือนเป็นบทพูดของเค้า ประมาณเรียกพลังให้เราพร้อมใจกันคัมปาย (เราถ่ายคลิปมานะแต่ลงในนี้ไม่ได้เอาไว้ลงในเฟสละกัน ฮ่าๆๆ)
 
นั่งกันจนเกือบเที่ยงคืนก็กลับเพราะเพื่อนบางคนต้องกลับรถไฟอาจไม่ทันได้ เรานัดกับยูเรียซังว่าพรุ่งนี้จะไปอาราชิยาม่ากัน มาดูว่าจะหลงทางและฝนจะตกอีกไหม
 
 
 




สำหรับวันนี้สวัสดีค่ะ
 
 
 
 



9/28/15

Japan Summer 2015 : Doraemon Museum - ย้อนวัยไปกับแก้งค์พี่ม่อน



การไปญี่ปุ่นของเราในแต่ละทริปจะออกแนวโอตาคุเล็กๆ คือทุกทริปจะต้องมีออกตามหาการ์ตูนที่ชอบ และครั้งนี้ก็เช่นกันนนน
รอบนี้อยู่แถวๆ โยโกฮาม่ากับโตเกียวนานเลยหาพิพิธภัณฑ์การ์ตูนแถวนี้ ไปเจออังปังแมนมาแล้ววันก่อน วันนี้เป็นคิวพี่ม่อนบ้าง


โดราเอม่อนมิวเซียมจะเปิด 3 รอบในแต่วันคือ 10.00, 12.00 และ 14.00 และหยุดทุกวันจันทร์ เราจองตั๋วรอบ 10.00 เพราะคิดว่าใช้เวลากับโดราเอม่อนเสร็จแล้วจะไปเที่ยวที่อื่นต่อด้วยก็เลยซื้อตั๋วรอบเช้าดีกว่า ว่าแล้วก็จับรถไฟไปกันๆๆๆ
เราให้อ้วนจองตั๋วล่วงหน้าไว้ให้ประมาณเดือนนึงค่ะ






เราออกจากบ้านประมาณ 8 โมงเช้า นั่ง Sotetsu Line จาก Futamatagawa (หรือใครนั่งจากสถานี Yokohama ก็สายนี้เช่นกัน) ไปลงสุดสายคือสถานี Ebisu แล้วเปลี่ยนสายไปเป็น Odakyu Odawara line รวมๆ เวลาแล้วก็ประมาณหนึ่งชั่วโมงพอดีก็จะมาถึงสถานี Mukogaoka-Yuen เราว่าสถานีนี้ใกล้โดราเอม่อนมิวเซียมที่สุดแล้ว ใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาทีก็ถึง แต่ถ้าอ้อยอิ่งชมเมืองถ่ายรูป กินกาแฟแบบเราใช้เวลาไปเลยครึ่งชั่วโมง
นี่แหละคือสาเหตุว่าทำไมต้องออกมาแต่เช้า







พอออกจากสถานีมาแล้วหาทางไปมิวเซียมง่ายมาก คือจะมีป้ายติดบอกทางทุกๆ ร้อยเมตรไม่ต้องกลัวหลง แถมระหว่างทางก็มีสัญลักษณ์ของโดราเอม่อนตั้งไว้ตามทางด้วย

จะบอกว่าสิ่งที่ชอบอีกอย่างนึงของเมืองนี้คือบ้านแต่ละหลังจะมีกระถางดอกไม้เล็กๆ ปลูกไว้หน้าบ้านแล้วดอกไม้สีสวย น่ารักมาก เรียกว่ามีกันทุกหลัง คงเป็นเอกลักษณ์ของเมืองไปแล้วละเราว่า

และสิ่งที่ชอบอีกอย่างนึงเวลาไปมิวเซี่ยมหลายๆ ที่ในญี่ปุ่นคือจะตั้งอยู่ในเมืองเล็กๆ ไม่พลุกพล่าน ที่มีพื้นที่ป่าขนาดใหญ่ล้อมรอบ เดินจากสถานีไปมิวเซี่ยมอันนี้จะฟินมาก หลายๆ ที่มีบัสไว้บริการแต่เราไม่เคยนั่งบัสเลยเราชอบเดินมากกว่ายิ่งช่วง Autumn หรือ Winter จะฟินมากเป็นพิเศษ 
แต่วันนี้ที่มาเจอฝนเต็มๆ และคิดว่าต้องเจอทั้งวันแน่ๆ พยากรณ์อากาศบอกไว้แบบนั้นและแม่นมากด้วย :(






เดินมาสักพักก็ถึงหน้ามิวเซี่ยมพบว่าทัวร์ลงเยอะมากกกกกกกกก (คิดเอาเองว่าทัวร์อะไร) เรายังมีเวลาประมาณ 10-20 นาทีก่อนมิวเซี่ยมจะเปิดก็เดินดูเดินเล่นไปพลางๆ 

วันนี้เราถือร่มมากจากบ้านเพราะฝนตกด้านหน้ามิวเซี่ยมจะมีที่ให้ฝากร่มแบบใส่รหัส เราก็เดินไปที่เครื่องและพยายามอยู่นานมากก็ไม่ได้สักที พนักงานเห็นก็เดินมาสอนวิธีใช้ด้วยภาษาญี่ปุ่นและภาษามือเป็นอันว่าก็เรียบร้อยไปด้วยดี





ที่นี่จะเปิดให้เข้าก่อนถึงเวลาจริงประมาณ 10 นาทีเพราะต้องทยอยเข้าไปยืนฟังกฏก่อนเข้าสู่ตัวมิวเซี่ยม ต่อคิวเข้าไปได้ครั้งละประมาณ 20 คนค่ะ พอฟังเสร็จก็ให้เข้าไปด้านใน กลุ่มใหม่ก็เข้ามาต่อไป 
เข้าไปเค้าจะแจกอุปกรณ์ คือเครื่องแปลภาษาาาาาา (ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าโดราเอม่อน) อังกฤษ จีน เกาหลีประมาณนั้นค่ะ ไม่มีภาษาไทยน้าาาา ทางเจ้าหน้าที่จะถามว่าเราจะฟังเป็นภาษาอะไรเค้าจะเซ็ทเครื่องให้เรา พอเข้าไปในมิวเซียมเราแค่กดปุ่มตามหมายเลขเพื่อฟังบรรยายแค่นั้นง่ายมากกก

นอกจากเครื่องแปลภาษาแล้วเรายังจะได้ตั๋วหนังมาคนละ 1 ใบด้วยค่ะ เป็นการ์ตูนสั้นประมาณ 15 นาที เป็นตอนสั้นๆ ไม่เคยฉายที่ไหน หรือเป็นการ์ตูนใหม่ที่กำลังจะออกฉาย  (คล้ายๆที่จิบลิ)  ซึ่งเราอาจจะได้ดูที่นี่ที่แรกและที่เดียว ฮ่าๆๆๆ





เราว่าที่โดราเอม่อนมิวเซี่ยมนี้ดีอย่างคือ คนไม่ค่อยกระจุกกันค่ะ ยกตัวอย่างที่จิบลี ห้องแต่ละห้อง ผลงานแต่ละผลงานคือคนรุมแน่นมากกกกกกก (แต่ก็รักจิบลินะ) 

แต่ที่นี้ด้วยความที่มันเป็นพิพิธภัณฑ์แบบแสดงงานวาดซะส่วนใหญ่ ลูกเล่นของเล่นไม่ค่อยมีคนก็เลยดูแบบผ่านๆ เด็กก็ไปเล่นเครื่องเล่นซะมากกว่า คนเลยโล่งๆ ค่ะ ค่อนข้างเดินสบาย (แต่พอเดินไปโซนของเล่นเท่านั้นละค่าาาาาา ลมจับ)
และห้ามถ่ายภาพนะคะ









ด้วยความที่ไปคนเดียวกับไอโฟนหนึ่งเครื่อง มันก็ถ่ายได้แต่วิว แต่!!!! เจ้าหน้าที่ที่นี่ดีมากค่ะ เค้าคอยมองเพื่อช่วยเหลือเราตลอด อย่างเราอยากถ่ายคู่กับตัวการ์ตูนก็ตั้งกล้องไว้ตามพื้นบ้าง ขอนไม้บ้าง เจ้าหน้าที่จะวิ่งมาทันทีค่ะ มาถ่วยถ่ายรูปให้ เหมือนเค้ายืนมองดูทุกคนตลอดและพร้อมเข้าช่วยเหลือทันที 





ดื่มด่ำกับตัวการ์ตูนแล้วตามหลักของผู้ใช้โซเชี่ยลก็ตรงไปที่คาเฟ่กันเล้ยยย ถามว่าอยากกินไหมเราเฉยๆ แต่อยากอัพรูปลงโซเชี่ยล ฮ่าๆๆ 

คาเฟ่คนค่อนข้างเยอะ ถ้าไปเป็นกลุ่มอาจต้องรอคิวแต่เราไปคนเดียวนั่งไหนก็ได้ง่ายมาก ด้วยความที่ไม่ได้อยากกินแค่อยากถ่ายรูปเลยเลือกเมนูที่ดูเอ็กซ์คลูซีฟแต่ถูกที่สุด ได้มาเป็นแพนเค้กไอติมชาเขียว ถั่วแดง และลาเต้เย็น เราว่าแพนเค้กอร่อยดี แต่ลาเต้เย็นรสชาติธรรมดา (หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเราซดกาแฟมาแล้วสองแก้วก็เป็นได้) 









พอกินเสร็จ (ต้องเรียกว่าถ่ายรูปเสร็จสิ) ก็ออกจากมิวเซียมมาเลยค่ะ เพราะเที่ยงแล้วเดี๋ยวเราต้องไปที่อื่นต่อ จะบอกว่าเมืองนี้ที่เที่ยวมากมายแต่ต้องทำเวลากันหน่อย เพราะถ้าเลทไปถึงเย็นๆ อาจจะต้องเผชิญกับเหล่าบรรดาซาลารี่มังบนรถไฟอีกก็เป็นได้ กลัววววว















To be continue......










9/13/15

Japan Summer 2015 : Meet DiaryClub girl in Tokyo - นัดเจอสาวไดอารี่คลับ






บล็อกนี้จะเป็นญี่ปุ่นทริปหน้าสุดท้ายละ พาตัวเองเข้าสู่โหมดปัจจุบันกันบ้างเนอะ



วันนี้นับเป็นอีกวันสำคัญในญี่ปุ่นค่ะ เรามีนัดกับพี่สาวคนนึงที่รู้จักกันผ่านไดอารี่ออนไลน์ รู้จักกันมาหลายปีแล้วแต่ไม่เคยเจอกันทักทายกันผ่านตัวอักษรเท่านั้นเพราะพี่เค้าอยู่ญี่ปุ่น ครั้งนี้เป็นครั้งแรกเลยที่ได้เจอกันตื่นเต้นเหมือนกันนะเนี่ย

มาญี่ปุ่นรอบนี้เรามีเวลาเยอะมากกกก เพราะครั้งก่อนๆ ที่มาก็ไปเที่ยวมาเกือบหมดแล้ว และนึกได้ว่าเคยคุยกับพี่สาวคนนี้ไว้ว่ายังไงสักวันเราต้องได้มาเจอกันไม่ที่ไทยก็ที่ญี่ปุ่นนี่แหละ ยังไงต้องได้เจอกันแน่นอน สรุปหวยมาออกที่ญี่ปุ่นจ้าาา






เรานัดเจอกันที่สถานีชิบุยะตรง ฮาจิโกะมาเอะ เรียกว่าหาง่ายที่สุดแล้ว เพราะเราใช้อินเตอร์เน็ตไม่ได้กลัวว่าถ้านัดที่อื่นอาจจะคลาดกันเพราะติดต่อไม่ได้ 
และถ้าจากโยโกฮาม่าเราสามารถนั่งรถไฟต่อเดียวจากต้นสาย (Minatomirai line) มาลงที่ชิบุยะได้เลยสะดวกมาก
และโชคดีที่วันนี้พี่สาวมาทำงานที่โตเกียวพอดี (บ้านพี่อยู่ไซตามะ) เลยสะดวกในการมาเจอกัน

เราหาที่ยืนใกล้ๆ กับทางขึ้นสถานีจะได้มองเห็นพี่สาวได้ง่าย นัดกันไว้ประมาณเที่ยงตรงมองไปเจอพี่สาวกำลังเดินขึ้นมาจากสถานีพอดี
พี่สาวมองปั้บรู้เลยว่าเป็นคนนี้แน่ๆ แต่งตัวและทำผมเป็นเอกลักษณ์มากๆ และในมือมีเบียร์จ้าาา คนนี้แน่ๆ ไม่ผิดตัว ฮ่าๆๆ





พี่สาวเดินดุ่มๆ ไปที่ฮาจิโกะเลยเรารีบวิ่งตามอย่างไว ได้เจอกันตรงฮาจิโกะพอดี และพี่สาวที่เรามาเจอวันนี้ก็คือพี่ลูกน้ำ นั่นเองงงงงง !!!
ถ้าใครอ่านหรือเขียนไดคลับมานานพักนึง คงเคยได้อ่านไดอารี่พี่น้ำมาบ้าง (เพราะช่วงหลังๆ พี่น้ำไม่ค่อยได้เขียนแล้ว) ไดอารี่พี่น้ำจะเป็นเอกลักษณ์มาก ทั้งสำนวนและอารมณ์ในการเขียน 
พี่น้ำแสดงความเป็นตัวตนของพี่น้ำทุกอย่างลงในไดอารี่ทำให้เรารู้จักตัวตนพี่น้ำผ่านไดอารี่ได้ไม่ยาก ถามว่าก่อนมาเจอกลัวพี่น้ำไหมบอกเลยว่ากลัวเพราะเราอ่านไดที่น้ำมาตลอดและพี่น้ำเป็นคนใจนักเลงมาก ปากกับใจตรงกันคิดอะไรก็พูดออกมาแบบนั้น แต่พอมาเจอตัวจริงปุ๊บ !! เฮ้ยยย! นี่สายแบ๊วนี่หว่า 555555






พี่น้ำมากับเพื่อนอีกคนเป็นพี่คนไทยที่อยู่ในญี่ปุ่นเหมือนกันชื่อพี่อี๊ด ซึ่งพี่น้ำกับพี่อี๊ดก็เจอกันวันนี้ครั้งแรกเหมือนกัน สรุปคือทุกคนเจอกันครั้งแรก 5555

หลังจากที่เจอกันสิ่งแรกที่ทำคือออออออ เดินไปคอนบินิไปซื้อเบียร์จ้าาาาาา ไม่แค่คนละกระป๋องนะ เป็นสองป๋อง สามป๋องเลยสตรองมากกกกก!!!!





สักพักเราชวนกันไปหาข้าวกิน ซึ่งพี่น้ำกับพี่อี๊ดเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแถวนี้อะไรอร่อย (≧∇≦)นานๆ จะเข้าเมืองมาซักที ฮ่าๆๆ งั้นก็เดินหากันต่อปายยย

สักพักเดินมาถึงร้านขายสเต็ก ก็ตกลงกันว่าโอเคกินร้านนี้แหละ (แต่ไม่รู้ว่าจะอร่อยหรือเปล่านะ) รีบกระดกเบียร์ในมือให้หมด เพราะจะได้สั่งใหม่ ไม่ใช่ !!!!! มันเป็นมารยาทที่ไม่งามถ้าเอาเบียร์จากที่อื่นเข้าร้านต่างหากเฟ้ยยย!!!

มาถึงพนักงานเอาเมนูมาให้ อย่างแรกที่เราสั่งกันแบบไม่ต้องดูเมนูเลยคือเบียร์ สั่งง่าย สั่งเร็ว หลังจากนั้นก็ค่อยๆ กระดึ้บๆๆ สั่งอาหารกัน 
สั่งสเต็กมาคนละเซ็ท พี่น้ำสั่งไก่ เราเนื้อ พี่อี๊ดสั่งแบบรวม สักพักอาหารก็มาเสิร์ฟ ร้อนฉ่ามากันเลยทีเดียว 



และจุดพีคมันอยู่ตรงนี้ !!!!

พวกเราคุยกันว่าควรสั่งข้าวด้วยนะ

พนักงานถามว่าข้าวไซส์ไหนดี

มี S M L XL สัดดด!! ข้าวหรือเสื้อใน

ตกลงกันว่าสั่งไซส์ S มาคนละก้อน 

พนักงานมองหน้า แล้วถามย้ำว่า

เอสุ ไซสุ เดสุก๊ะ????


นั่งรอข้าว.....

แดกเบียร์หมดไปแก้วแล้ว ข้าวยังไม่มา

สักพักข้าวมาเสิร์ฟ งง งง งง

นี่ข้าวหรือขนมถ้วย ?!?!?

ข้าวไซส์ S s s s s s!!!!!! พ่องงงง!!!

เอาตะเกียบคีบใส่ปากครั้งเดียวหมด

มิน่าพนักงานถามย้ำกูจั้งงงง !!

เอสุ ไซสุ เดสุก๊ะ?

เอสุ ไซสุ เดสุก๊ะ?

ถามว่าอิ่มไหม ?? ไม่อิ่ม !! แต่ไม่สั่งเพิ่มแล้ว

อีห่า!! นี่ก็ไม่รู้จะโกรธหรือจะขำ !!!

กูแดกยอดข้าวให้อิ่มแทนก็ได้ แม่มมม!!!












สำหรับในร้านหมดเบียร์ไปคนละ 2 แก้ว ต้องขอบคุณพี่น้ำกับพี่อี๊ดด้วยที่เลี้ยงข้าวน้องมื้อนี้นะคะ (^∇^)

กินเสร็จก็เดินหาร้านไปกันต่อ สรุปไปจบกันตรงร้านคาราโอเกะ สั่งเบียร์มากันอีก พี่น้ำสายเพลงญี่ปุ่น พี่อี๊ดสายเพลงฝรั่ง อีนี่สายแจมกะเค้าไปทั่ว และมีเพลงที่ประทับใจมากคือ First Love ของอูทาดะ ฮิคารุ ร้องกันได้แบบไม่ต้องดูเนื้อร้องเลย สมกับที่เป็นแฟนคลับจริงๆ (เดาอายุกันได้เลย)






อยู่ในเกะกันประมาณ 2 ชั่วโมง (หมดเบียร์ไปเยอะมาก) ออกมา ยังๆๆ แอลกอฮอล์เรายังไม่จบ เดินเข้าคอมบินิกันต่อหยิบชูวไฮคนละกระป๋อง วินาทีนั้นเริ่มเดินไม่ตรงทาง เริ่มแย่งกันพูด เริ่มเสียงดังใส่กัน ฮ่าๆๆ นี่สาบานว่าเจอกันครั้งแรก

ถือชูวไฮร่วมสาบานเดินมานั่งกันหน้าสถานี เม้าท์มอยกันเสียงดัง ลุงข้างๆ ถึงขั้นเขยิบหนี  อ่าาาา หนูไม่ได้มีเจตนาทำร้ายหูลุงนะคะ โกเมนนะไซ 

เริ่มเย็นแล้วคนเริ่มเยอะ ได้เวลาบอกลากัน ก่อนที่รถไฟจะแน่น พี่น้ำกลับไซตามะ พี่อี๊ดกลับฟูจิซาวะ ส่วนเราไปโยโกฮามะ นั่งรถไฟไปสายเดียวกับพี่อี๊ด แล้วเราลงคานากาวะ ต่อรถไฟไปโยโกฮาม่าอีกที

ดีใจที่ได้มาเจอพี่ๆ วันนี้นะคะ เจอกันครั้งแรกแต่เราต่อกันติด คุยกันได้ทุกเรื่องเหมือนรู้จักกันมานาน :)) ไว้พี่ๆ เป็นที่ปรึกษาและดูแลน้องตอนน้องไปอยู่ที่โน้นด้วยนะ 


รัก
รัก
รัก
รัก





........











Japan Summer 2015 : Takoyaki party at Ikura - ไปเที่ยวบ้านอิคุระซัง




หลังจากที่ดูวิวเสร็จเรียบแล้วเป้าหมายต่อไปเราจะไปหาอิคุระแฟมิลี่กันต่อค่ะ ก่อนไปก็แวะหาซื้ออะไรเล็กๆ น้อยๆ ไปเป็นของฝาก อันนี้ถือเป็นมารยาทนะคะ
เราออกจากสถานีชินจุกุใช้เวลาประมาณ 15-20 นาทีก็มาถึงสถานีทาบาตะเป็นสถานีที่ใกล้บ้านอิคุระแฟมิลี่เดินจากสถานีไปประมาณ 10 นาทีก็ถึงค่ะ







เราโทรหาอัตจังก่อนขึ้นไปที่อพาร์ตเม้นท์ว่าเรามาถึงแล้วแต่ตอนนี้อัตจังไม่อยู่บ้านแต่ว่าอิคุระซังอยู่กับอองคุงให้เราขึ้นไปได้เลย
อพาร์ตเม้นท์ของอิคุระแฟมิลี่อยู่ที่ชั้น 5 ค่ะชั้นสูงสุดของตึก ออกไปยืนที่ระเบียงจะมองเห็นโตเกียวสกายทรีด้วย แต่วันนี้แอบร้อนนิดนึงลมพัดมาก็มีแต่ไอร้อน




นั่งไปสักพักอั๊ตจังกลับมาพร้อมของในมือพะรุงพะรัง และบอกว่าวันนี้เราจะทำทาโกะยากิปาร์ตี้ อั๊ตจังบอกว่าฉันมีเครื่องทำทาโกะยากิด้วยนะ เราก็ดีใจนึกว่าอั๊ตจังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ อั๊ตจังบอกต่อว่าเนี่ยเพิ่งซื้อใหม่แกะกล่องเลยจะทำตอนรับปูจัง ฮ่าๆๆ แล้วจะกินได้ไหมเนี่ยยยย








สักพักเพื่อนร่วมขบวนการทาโกะยากิก็มาเพิ่มค่ะ คิรินจังกับสามี สองคนนี้เพิ่งหมั้นกัน และช่วงเดือนตุลาคมก็จะแต่งงานกันที่ฮาวาย  เราก็ถามว่าทำไมคนญี่ปุ่นชอบไปจัดงานแต่งงานที่ฮาวายคิรินจังบอกไม่รู้เหมือนกัน เพราะที่แรกที่คิดขึ้นมาได้พร้อมกันคือฮาวายก็เลยตัดสินใจเลือกที่นี่แหละ ก็ยินดีกับคิรินจังด้วย 

สักพักนึงเพื่อนอั๊ตจังก็มาแต่เราจำชื่อไม่ได้ ฮ่าๆๆ ขอโทษค่ะ ทุกคนแบกเบียร์มากันคนละแพคสองแพค






อิคุระซังทำหน้าที่ผสมแป้งทาโกะยากิอย่างขยันขันแข็งและผลปรากฏว่าล๊อตแรกจากทาโกะยากิ กลายเป็นหอยทอดซะงั้น !! และเราก็นั่งแทะเล็มไอ้ทาโกะยากิแปลงร่างนั่นแหละค่ะ ฮ่าๆๆๆ แหมม แบนมาเชียววว


พอมาล็อตที่สองเราเริ่มได้ข้อเรียนรู้จากความผิดพลาดค่ะ รูปร่างของทาโกะยากิกลมมากขึ้น และพวเราเริ่มเพิ่มออฟชั่นลงไปเช่นทาโกะยากิไส้ชีสอะไรแบบนี้ สนองนี๊ดตัวเองกันมากๆ




หลังจากที่อิคุระซังทำทาโกะให้เราหลายรอบแล้วก็ถึงตาพวกเราแบ่งกลุ่มกันไปทำบ้าง
นี่คือการทำทาโกะยากิครั้งแรกของเราเลย ตอนแรกก็งงมากว่ากะทะแบบนี้มันจะทำให้กลมได้ไง
พอได้มาลองทำเองถึงได้รู้วิธีการ อั๊ตจังถึงกับบอกว่าปูจังไป้ปิดร้านทาโกะยากิที่ไทยสิคงขายดีมากๆ ที่ญี่ปุ่นมีแป้งสำเร็จรูปขายซื้อไปจากที่นี่เลยก็ได้ ฮ่าๆๆ

และจะให้ไปขายที่ไหนละค้าาาาาา











ประมาณ 3 ทุ่มคิรินจังกับแฟนก็ขอตัวกลับก่อน ไม่นานเรากับอ้วนก็ขอตัวบ้างเพราะจากบ้านอั๊ตจังกลับโยโกฮาม่าก็เกือบชั่วโมงเลย

ทุกคนเดินลงมาส่งที่ด้านล่างอพาร์ตเม้นท์ ร่ำลากันพอหอมปากหอมคอ อีกไม่นานก็เจอกันใหม่แล้วเนอะ ^^







กลับถึงบ้านเกือบๆ เที่ยงคืน เหนื่อยมากกก เพราะว่าวันนี้เดินทั้งวัน หลับเป็นตาย