9/28/15

Japan Summer 2015 : Doraemon Museum - ย้อนวัยไปกับแก้งค์พี่ม่อน



การไปญี่ปุ่นของเราในแต่ละทริปจะออกแนวโอตาคุเล็กๆ คือทุกทริปจะต้องมีออกตามหาการ์ตูนที่ชอบ และครั้งนี้ก็เช่นกันนนน
รอบนี้อยู่แถวๆ โยโกฮาม่ากับโตเกียวนานเลยหาพิพิธภัณฑ์การ์ตูนแถวนี้ ไปเจออังปังแมนมาแล้ววันก่อน วันนี้เป็นคิวพี่ม่อนบ้าง


โดราเอม่อนมิวเซียมจะเปิด 3 รอบในแต่วันคือ 10.00, 12.00 และ 14.00 และหยุดทุกวันจันทร์ เราจองตั๋วรอบ 10.00 เพราะคิดว่าใช้เวลากับโดราเอม่อนเสร็จแล้วจะไปเที่ยวที่อื่นต่อด้วยก็เลยซื้อตั๋วรอบเช้าดีกว่า ว่าแล้วก็จับรถไฟไปกันๆๆๆ
เราให้อ้วนจองตั๋วล่วงหน้าไว้ให้ประมาณเดือนนึงค่ะ






เราออกจากบ้านประมาณ 8 โมงเช้า นั่ง Sotetsu Line จาก Futamatagawa (หรือใครนั่งจากสถานี Yokohama ก็สายนี้เช่นกัน) ไปลงสุดสายคือสถานี Ebisu แล้วเปลี่ยนสายไปเป็น Odakyu Odawara line รวมๆ เวลาแล้วก็ประมาณหนึ่งชั่วโมงพอดีก็จะมาถึงสถานี Mukogaoka-Yuen เราว่าสถานีนี้ใกล้โดราเอม่อนมิวเซียมที่สุดแล้ว ใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาทีก็ถึง แต่ถ้าอ้อยอิ่งชมเมืองถ่ายรูป กินกาแฟแบบเราใช้เวลาไปเลยครึ่งชั่วโมง
นี่แหละคือสาเหตุว่าทำไมต้องออกมาแต่เช้า







พอออกจากสถานีมาแล้วหาทางไปมิวเซียมง่ายมาก คือจะมีป้ายติดบอกทางทุกๆ ร้อยเมตรไม่ต้องกลัวหลง แถมระหว่างทางก็มีสัญลักษณ์ของโดราเอม่อนตั้งไว้ตามทางด้วย

จะบอกว่าสิ่งที่ชอบอีกอย่างนึงของเมืองนี้คือบ้านแต่ละหลังจะมีกระถางดอกไม้เล็กๆ ปลูกไว้หน้าบ้านแล้วดอกไม้สีสวย น่ารักมาก เรียกว่ามีกันทุกหลัง คงเป็นเอกลักษณ์ของเมืองไปแล้วละเราว่า

และสิ่งที่ชอบอีกอย่างนึงเวลาไปมิวเซี่ยมหลายๆ ที่ในญี่ปุ่นคือจะตั้งอยู่ในเมืองเล็กๆ ไม่พลุกพล่าน ที่มีพื้นที่ป่าขนาดใหญ่ล้อมรอบ เดินจากสถานีไปมิวเซี่ยมอันนี้จะฟินมาก หลายๆ ที่มีบัสไว้บริการแต่เราไม่เคยนั่งบัสเลยเราชอบเดินมากกว่ายิ่งช่วง Autumn หรือ Winter จะฟินมากเป็นพิเศษ 
แต่วันนี้ที่มาเจอฝนเต็มๆ และคิดว่าต้องเจอทั้งวันแน่ๆ พยากรณ์อากาศบอกไว้แบบนั้นและแม่นมากด้วย :(






เดินมาสักพักก็ถึงหน้ามิวเซี่ยมพบว่าทัวร์ลงเยอะมากกกกกกกกก (คิดเอาเองว่าทัวร์อะไร) เรายังมีเวลาประมาณ 10-20 นาทีก่อนมิวเซี่ยมจะเปิดก็เดินดูเดินเล่นไปพลางๆ 

วันนี้เราถือร่มมากจากบ้านเพราะฝนตกด้านหน้ามิวเซี่ยมจะมีที่ให้ฝากร่มแบบใส่รหัส เราก็เดินไปที่เครื่องและพยายามอยู่นานมากก็ไม่ได้สักที พนักงานเห็นก็เดินมาสอนวิธีใช้ด้วยภาษาญี่ปุ่นและภาษามือเป็นอันว่าก็เรียบร้อยไปด้วยดี





ที่นี่จะเปิดให้เข้าก่อนถึงเวลาจริงประมาณ 10 นาทีเพราะต้องทยอยเข้าไปยืนฟังกฏก่อนเข้าสู่ตัวมิวเซี่ยม ต่อคิวเข้าไปได้ครั้งละประมาณ 20 คนค่ะ พอฟังเสร็จก็ให้เข้าไปด้านใน กลุ่มใหม่ก็เข้ามาต่อไป 
เข้าไปเค้าจะแจกอุปกรณ์ คือเครื่องแปลภาษาาาาาา (ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าโดราเอม่อน) อังกฤษ จีน เกาหลีประมาณนั้นค่ะ ไม่มีภาษาไทยน้าาาา ทางเจ้าหน้าที่จะถามว่าเราจะฟังเป็นภาษาอะไรเค้าจะเซ็ทเครื่องให้เรา พอเข้าไปในมิวเซียมเราแค่กดปุ่มตามหมายเลขเพื่อฟังบรรยายแค่นั้นง่ายมากกก

นอกจากเครื่องแปลภาษาแล้วเรายังจะได้ตั๋วหนังมาคนละ 1 ใบด้วยค่ะ เป็นการ์ตูนสั้นประมาณ 15 นาที เป็นตอนสั้นๆ ไม่เคยฉายที่ไหน หรือเป็นการ์ตูนใหม่ที่กำลังจะออกฉาย  (คล้ายๆที่จิบลิ)  ซึ่งเราอาจจะได้ดูที่นี่ที่แรกและที่เดียว ฮ่าๆๆๆ





เราว่าที่โดราเอม่อนมิวเซี่ยมนี้ดีอย่างคือ คนไม่ค่อยกระจุกกันค่ะ ยกตัวอย่างที่จิบลี ห้องแต่ละห้อง ผลงานแต่ละผลงานคือคนรุมแน่นมากกกกกกก (แต่ก็รักจิบลินะ) 

แต่ที่นี้ด้วยความที่มันเป็นพิพิธภัณฑ์แบบแสดงงานวาดซะส่วนใหญ่ ลูกเล่นของเล่นไม่ค่อยมีคนก็เลยดูแบบผ่านๆ เด็กก็ไปเล่นเครื่องเล่นซะมากกว่า คนเลยโล่งๆ ค่ะ ค่อนข้างเดินสบาย (แต่พอเดินไปโซนของเล่นเท่านั้นละค่าาาาาา ลมจับ)
และห้ามถ่ายภาพนะคะ









ด้วยความที่ไปคนเดียวกับไอโฟนหนึ่งเครื่อง มันก็ถ่ายได้แต่วิว แต่!!!! เจ้าหน้าที่ที่นี่ดีมากค่ะ เค้าคอยมองเพื่อช่วยเหลือเราตลอด อย่างเราอยากถ่ายคู่กับตัวการ์ตูนก็ตั้งกล้องไว้ตามพื้นบ้าง ขอนไม้บ้าง เจ้าหน้าที่จะวิ่งมาทันทีค่ะ มาถ่วยถ่ายรูปให้ เหมือนเค้ายืนมองดูทุกคนตลอดและพร้อมเข้าช่วยเหลือทันที 





ดื่มด่ำกับตัวการ์ตูนแล้วตามหลักของผู้ใช้โซเชี่ยลก็ตรงไปที่คาเฟ่กันเล้ยยย ถามว่าอยากกินไหมเราเฉยๆ แต่อยากอัพรูปลงโซเชี่ยล ฮ่าๆๆ 

คาเฟ่คนค่อนข้างเยอะ ถ้าไปเป็นกลุ่มอาจต้องรอคิวแต่เราไปคนเดียวนั่งไหนก็ได้ง่ายมาก ด้วยความที่ไม่ได้อยากกินแค่อยากถ่ายรูปเลยเลือกเมนูที่ดูเอ็กซ์คลูซีฟแต่ถูกที่สุด ได้มาเป็นแพนเค้กไอติมชาเขียว ถั่วแดง และลาเต้เย็น เราว่าแพนเค้กอร่อยดี แต่ลาเต้เย็นรสชาติธรรมดา (หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเราซดกาแฟมาแล้วสองแก้วก็เป็นได้) 









พอกินเสร็จ (ต้องเรียกว่าถ่ายรูปเสร็จสิ) ก็ออกจากมิวเซียมมาเลยค่ะ เพราะเที่ยงแล้วเดี๋ยวเราต้องไปที่อื่นต่อ จะบอกว่าเมืองนี้ที่เที่ยวมากมายแต่ต้องทำเวลากันหน่อย เพราะถ้าเลทไปถึงเย็นๆ อาจจะต้องเผชิญกับเหล่าบรรดาซาลารี่มังบนรถไฟอีกก็เป็นได้ กลัววววว















To be continue......










No comments: