12/23/16

Japan Autumn 2016- Haikyuu Stage Play



มีน้องที่ทำงานชักชวนเราเข้าวงการติ่งค่ะ ซึ่งปกติเราก็ติ่งอยู่แล้วแหละแต่เป็นติ่งจิบลิไง มันก็จะออกแนวน่ารักๆ คน สัตว์ สิ่งของในโลกจินตนาการอะไรแบบนี้ คือเวลาไปญี่ปุ่นก็จะไปจิบลิมิวเซี่ยมเนอะ ซื้อพวกกู้ดส์ก็จะเป็นลายแมว กิกิ โตโตโร่อะไรคิ้วท์ๆ ที่ค่อนข้างเหมาะกับหนังหน้า ฮ่าๆๆ


แต่นางดันชวนเรามาติ่งผู้ชายค่าาาาาคุ๊ณ !!!! ดูสิอุตส่าคีพลุคใสๆ แบ้วๆ ตอนแรกดูการ์ตูนก็เฉยๆ นะ แต่ก็ชอบความคูล ความตั้งใจของแต่ละตัวละครที่คนเขียนใส่เข้าไปคือดูแล้วรู้สึกฮึกเฮิมแหละ แบบตอนแรกก็น้ำตาเล็ดกันเลย ตัวเล็กแต่ใจใหญ่จริมๆ พ่อฮินาตะของบ่าว ( ˊ̱˂˃ˋ̱ ) จากนั้นก็ดูมาเรื่อยๆ เลยจ้าาาผู้ตบกันมันส์เบย

และความพีคไปอีกกกกกกคือนางเอาเวอร์ชั่นละครเวทีที่มีผู้เล่นหลายสิบคนมาให้ดูจ้าาาา ฮรืออออ ฟินไปสิบแปดล้านตลบ เพราะมันคือตัวละครในอนิเมะที่มีชีวิตจริงๆ ที่สามารถจับต้องได้ (พูดให้สวยๆ ไปงั้นแหละจริงๆแล้วเสียเงินเป็นแสนแขนก็ไม่ได้จับ 5555555)

เราก็พยายามไปตามหาตามอ่านนะว่าหนุ่มๆ ตัวจริงๆ ตัวเป็นๆ เค้าเป็นใครมาจากไหนพอยิ่งตามๆ ก็ยิ่งพบความน่ารักของน้องไงงงงง คือแต่ละคนเล่นใหญ่ มุ่งมั่น เต็มที่ คือดูแล้วรู้เลยว่าตั้งใจและซ้อมมาดีมากๆ ทำให้เราก็เลยอยากไปดูของจริงสักครั้ง แต่ถ้ามีตังก็อยากดูหลายๆครั้ง ฮ่าๆๆ
รักต้องเปย์ รักต้องเปย์ ท่องไว้ๆๆ หน้าไม่เจอเห็นหลังคาโรงละครก็ยังดี ฮ่าๆๆๆ (แต่เอาจริงๆ ชื่อตัวละครนี่ยังจำได้ไม่หมดเลยจ้า)

จนเราดูอนิเมะจบไปละแต่ก็ยังคงพร่ำเพ้ออยู่ชอบพี่ไดจิกับน้องเคนมะ ชอบๆๆๆๆๆ 
จนวันนึงน้องที่ชักชวนเข้าวงการวอลเล่ย์บอลเดินถือโทรศัพท์เปิดเว็บ Engeki haikyuu แล้วมากระซิบว่า.....

เจ้ๆ บุไตจะเปิดรอบใหม่ปลายปี สนม่ะ (⁎⁍̴̆Ɛ⁍̴̆⁎)
เฮ้ยยย เพิ่งไปมาเมื่อมิถุนา ขอเวลาตั้งตัวบ้างงงง !!!

ว่าแต่จะซื้อตั๋วยังไงว่ะ มันมีแต่ภาษาญี่ปุ่นนนนน ?!?!?!

ตอนนั้นบอกตรงๆ สมองซีกซ้ายคิดหาวิธีการซื้อตั๋ว สมองซีกขวาสั่งว่าแดกมาม่าก็ได้แล้วทำโอทีวนไปข่าาาาา 
ผู้ชายต้องมาก่อนเสมอ


บอกแล้วสายเปย์ใจต้องนิ่งเหมือนหินผา
คนจริงเค้าไม่มาเซย์โนให้เสียเวลาฮ่ะ ถถถถถถถถถ // ตัดภาพไปแดกมาม่ารัวๆๆ 

เราเลยไลน์ไปหาเจ้อายาริ เกียวโตเมืองเก่าให้แปลข้อมูลการซื้อตั๋วให้หน่อยเดี๋ยวเซ่นด้วยเบียร์ช้างสิบป๋อง แต่เจ้ไม่แปลให้ค่ะอีหอยยยยย แต่เจ้บอกเดี๋ยวจัดการซื้อให้เลย โฮฮฮ น้ำตาไหลลลล มึงสปอยล์กูมากไปแล้ววววว ให้กูได้เรียนรู้บ้าง โฮฮฮฮ

เจ้อายาริอธิบายการซื้อตั๋วมาให้ฟัง มี 2 แบบ ซึ่งใครมีข้อมูลแบบถูกต้องก็มาแชร์กันได้ฮ่ะ เราก็ฟังเจ้อายาริเค้าอธิบายมาอีกทีคือกันนนนนน

แบบแรกคือแรนด้อม หรือเรียกอีกอย่างว่า ล็อตโต้ ล็อตตารี่อะไรก็แล้วแต่ แต่ช้าก่อน !! แต่เราต้องสมัครเป็นสมาชิกเมลในแมกกาซีนอะไรซักอย่างก่อนนะ เราถึงจะมีสิทธิ์ล็อตตั๋วได้ เจ้อายาริก็จัดการสมัครให้เลย โดยใช้อีเมลนางแต่ใช้ชื่อเรา (หลังจากนั้นนางก็บ่นมีเมลส่งมาชื่อเธอทุกวันเลย ลำไยมากกก ฮ่าๆๆ กูขอโต๊ดดดดดดด) อันนี้ค่อนข้างยากนะเหมาะสำหรับคนที่เข้าใจภาษาญี่ปุ่น คือถ้าเราไม่ได้เจ้อายารินี่คงไม่ได้ตั๋ว
เราก็ไปลงชื่อไว้ในระบบนะว่าต้องการตั๋วรอบไหนราคาเท่าไหร่ โดนเจ้อายาริขู่ว่าให้จองรอบที่ต้องจะดูจริงๆ นะอย่าจองแบบหว่านเพราะถ้าเธอโชคดีล็อตได้ทุกรอบนั่นหมายความว่าเธอต้องจ่ายเงินทุกรอบนะ โอเช๊!!!! ตามนั้นค่ะเจ้!!!
เราจองไปรอบโอซาก้าค่ะ ซึ่งลงชื่อไปกว่าจะประกาศผลก็ประมาณ 2-3 อาทิตย์ ลุ้นเยี่ยวเหนียวกันไปนะมีแบบไปบนบานศาลกล่าวนิดๆ ขอให้ได้ให้โดน ผลออกมาปรากฏว่าเราได้ตั๋วล็อตโต้ตั้งแต่รอบแรกเลยจ้าาาาาาอยากจะแก้ผ้ารำรอบร้าน ฮ่าๆๆๆ แต่อย่าชะล่าใจว่าทุกคนจะได้ตั๋วจากการล็อตนะคะ ได้ข่าวมาว่าคนที่จองรอบโตเกียวชวดกันเป็นแถวเลย เจ้อายาริแม่งมากับดวงจริงๆ นอกจากแม่งจะได้ตั๋วล็อตตั้งแต่รอบแรกแล้วมันยังแรนด้อมได้แถว 6 ค่าาาาาา ฟินไปอีกกกกกกก กูจะเปลี่ยนมาเรียกมึงว่าเจ้าแม่อายาริแล้วเอาผ้าสามสีมาผูกแย้ววววววว ╹◡╹


ตั๋วแถวหกมันโฮกกกกกจริมๆ


ใกล้จนได้ยินเสียงหอบ ฮ่าๆๆ

แต่คนไม่ได้รอบแรกก็อย่าเพิ่งเสียใจไปค่ะเค้ายังมีล็อตรอบ 2-3 อีก จนกว่าจะเปิดขายตั๋วจริงๆ ถ้าล็อตไม่ได้ความรู้สึกก็อาจจะเหมือนโดนหวยแดกประมาณนั้นแหละ เจ็บที่อก ปวดที่หัวใจแปล่บๆ

ส่วนคนที่ล็อตได้แล้วเค้าจะส่งเมลแจ้ง ให้เราเอาเงินไปจ่ายที่ลอว์สันและรับตั๋วอาทิตย์ถัดมา ส่วนเราโอนเงินผ่าน WU (aka Western Union นะฮะรวดเร็วทันใจ)ให้เจ้อายาริไปก่อนประกาศผลอีกค่ะ เพราะถ้าล็อตไม่ได้เราจะมีวิธีการซื้อตั๋วแบบอื่นอีกให้นางถือเงินไว้เลย

ส่วนวิธีการซื้อตั๋วแบบอื่น บอกตรงๆ ตรงนี้ว่าหลังจากที่รู้ว่าล็อตตั๋วได้แล้วก็ดีใจจนไม่สนใจห่าไรเลย ฮ่าาาา รำรอบห้างได้ก็จะรำ เลยไม่ได้ถามเจ้อายาริต่อว่าซื้อตั๋วแบบปกติเค้าซื้อกันยังไง เอาไว้รอบหน้าเนอะ (นี่ขายไตกันขนาดนี้ยังคิดจะมีรอบหน้า???)


ได้ตั๋วบุไตมาแล้ว
ต่อไปเป็นตั๋วเครื่องบิน ทำยังไงจะได้ตั๋วเครื่องบินราคาถูกในช่วงไฮซีซั่น ถถถถ

ที่พัก ทำยังไงจะหาที่พักราคาถูกแบบไม่เต็มได้ในช่วงไฮซีซั่น ถถถถถถ


Japan Autumn 2016 : ว่าด้วยเรื่องกางเกงมวย



ตัดมาวันก่อนดูบุไตวันนึงฮ่ะ เราจองรอบวันอาทิตย์บ่ายโมงตรงไป แต่วันเสาร์กลางคืนเราก็มาที่โรงละครเช่นกัน เรามากันทำไม?? อย่างแรกเลยเราเดินมาดูทางค่ะ ฮ่าๆๆ คือกลัววันจริงแล้วจะหลงเลยเดินมาดูลาดเลาไว้ก่อน และเหตุผลหลักของเราคืออออออออออออ มีของมาให้หนุ่มๆ เราค่าาาาาาาา

ก่อนหน้านั้นเดือนนึงเราก็คิดกันว่าจะซื้ออะไรมาให้น้องๆ ดีว่ะ อะไรที่จะทำให้น้องประทับใจและตอบโจทย์ความเป็นไทย คือคิดกันเยอะมากจริงๆ แต่มันก็ยากอะคิดยังไงก็คิดไม่ออก อะไรที่มันต้องตอบโจทย์ในหลายๆ ปัจจัยนี่มันยากจริงๆ 
ปรากฏว่าในระหว่างนั้นก็เห็นเพจพี่บัวขาวอัพรูปจ้าาาาาา (นอกจากหนุ่มๆ ไฮคิวแล้วก็มีพี่บัวนี่แหละที่เป็นไอดอล) ฟริ้งงงง !! พี่บัวมาปัญญาเกิด เกงมวยยย !!!! คำตอบสุดท้ายค่าาา

ได้กางเกงมวยแล้วมันยังไม่จบแค่นั้นจ้าาาา โอ้ยมานั่งจับคู่สีกันอี๊กกกก น้องคนไหนเหมาะกับสีไหน ออกแบบลายยังไง ชื่อน้องเราเขียนเป็นคันจิเขียนถูกไหม ฮ่าๆๆ ความติ่งนี่มันติ่งจริงๆ นะ

จริงแล้วอยากทำให้ทั้งทีมเลยค่ะแต่ด้วยงบประมาณที่มีอย่างจำกัดเราเลยตัดสินใจทำให้เฉพาะปีหนึ่งเท่านั้น แต่ยังไงเราก็รักรุ่นพี่ปีสองปีสามมากๆ เลยน้าาาา


ตัดมาวันเสาร์ที่โอซาก้ากันดีกว่า


เราไปถึงหน้าอุเมดะอาร์ตเธียร์เตอร์ประมาณ 6 โมงเย็น ตอนนั้นคนรอเข้างานเต็มไปหมดเลย แล้วข้างนอกคือหนาวมาก พวกเรายืนกันแบบไร้จุดหมาย คืออ่านอะไรไม่ออกเลย ตอนนั้นเหมือนเป็นง่อย เพลงพี่เบิร์ดลอยมาเลยจ้าาา กลับตัวก็ไม่ได้ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ มาถึงนี่แล้วขึ้นชื่อว่าสาวไทยใจแกร่งมันต้องสู้สิว่ะ คุยกันกับน้องที่ไปด้วยว่าเดี๋ยวเราเข้าไปถามพี่สต๊าฟดีกว่าเนอะว่าเอาของฝากน้องๆ ได้ไหม 
ด้วยความโลกสวย ความทุ่งลาเวนเดอร์ มั่นใจว่าพวกพี่สต๊าฟต้องคุยอังกฤษได้บ้างแหละน่า ไฮคิวมันรวมติ่งจากหลายประเทศเลยนะเฟ้ยยย !! เดินมั่นหน้าเข้าไปเลยยยยย 

เอ็กซ์คิวมี๊ !!!
ไฮ !! 
٩( )و
แคน ไอ ลีฟ ซัม กิ๊ฟท์ ฟอร์ แอค เตอร์ส??
เอ โตววววว อื้มมมม เกาหัว วาการะไนเดสุ 

โอ้ยยยยยย เอาไงดีว่ะ คือพี่สต๊าฟคงคิดว่าเราเป็นคนดูรอบนี้แหละก็ผายมือให้เข้าไปข้างในใหญ่เลย ทิคเก็ทโตะ ทิคเก็ทโตะ อยู่นั่นแหละฮ่าๆๆๆ เดินกลับไปตั้งหลักใหม่ ทำไงเราถึงจะรู้เรื่องกัน

น้องที่มาด้วยกันถาม เจ้ๆ เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นไม่ใช่เหรอ พูดญี่ปุ่นกับเค้าเลย 
โถว่ววววววว !!! แค่ N5 ที่ก็สอบไม่ผ่านจะไปคุยอะไรกับใครเค้ารู้เรื่องล๊าวววววว น้องก็เชียร์ลองก่อนๆๆ นี่แกมั่นใจในตัวฉันเบอร์นั้นเลยเหรอฟร่ะ !

ก็ได้ว่ะ สูดหายใจเดินไปใหม่ ในระหว่างนั้นสมองก็ประมวลผลคำศัพท์จากมินนะโนะทุกเล่มที่เรียนมา โผล่มาในหัวก็มีแต่ไมกุ มิร่าเดสุ อเมริกาการ่าคิมาชิตะ ฮ่าๆๆ พี่สต๊าฟจะเข้าใจใช่ไหมคะ

เดินไปหยุดตรงหน้าพี่สต๊าฟ
พี่สต๊าฟมองหน้า มึงมาทำไมอีก?
สุมิมาเซน (⁎⁍̴̆Ɛ⁍̴̆⁎) สูดหายใจ ฮื้ดดด

โคเระ วะ แอคกุต่า โนะ พุรีเซงโตะเดสุ
พูดช้าที่สุดกลัวพูดผิดแล้วพี่สต๊าฟจะงง ประธาน กิริยา กรรม อะไรนี่ไม่สนแล้ววว

พี่สต๊าฟพยักหน้า (ใกล้จะชนะแล้วสินะกู

เคียว วะ อะเกรุ ไดโจวบุเดสุก๊ะ??
พร้อมเอามือยกของฝากชี้ไปด้านใน เอาซี้ !!!! 

อ๊าาาาาา !! เสียงพี่สต๊าฟ พี่บ่าวเข้าใจน้องแล้วใช่ม๊ายยยยยย
พี่สต๊าฟบอกว่าเราเอาของไปฝากวันนี้ได้ก๊ะ แต่ต้องรอหลังจาก 19.20 เป็นต้นไปนะ ถึงจะเข้าได้ ต้องรอให้โรงละครปิดก่อนนะ เพราะคงกลัวคนไม่มีตั๋วแอบตีเนียนเข้าไปอะค่ะ 
ได้ก๊าาาาาาาาาาา รับแซ่บบบ
พร้อมกันนั้นพี่สต๊าฟก็บอกว่าถ้าจะซื้อของก็ต้องรอหลังจาก 19.20 เหมือนกันนะจ๊ะ 


ตัดมา 19.20 

หลังจากที่ได้เข้ามาด้านในแล้วก็พบว่ามีติ่งแบบเรานี่แหละก็เอาของมาให้น้องเยอะมากกกกกก หลายกล่องอะแกกกกก แล้วแต่ละคนแม่งงงงให้ชาแนลเงี่ยะ จีช๊อคเงี้ยะ แบรนด์เนมเงี้ยะ ติ่งคนอื่นแม่งรวยกันจริงๆ วะ หันมามองในมือแล้วเกงมวยกูล่าาาาาา มีปัญญาทำให้ได้แค่นี้แต่รักไม่แพ้เค้านะ ฮ่าๆๆๆ หัวเราะทั้งน้ำตา 
ซึ่งขั้นตอนนี้พี่สต๊าฟเค้าจะปริ้นท์ชื่อนักแสดงทุกคนมาเตรียมไว้อยู่แล้ว เราแค่ยื่นของให้เค้าแล้วบอกชื่อคนที่เราต้องการให้ของเค้าก็เอาชื่อมาติดไว้ที่ของเลยค่ะ แล้วใส่ลงในกล่องรวมๆ กันไว้ แค่นั้นแหละจบปึ้ง ของถึงมือน้องแน่นวลลลลลลล

หลังจากนั้นเราก็ไปกินข้าวแล้วกลับเกสต์เฮ้าส์ค่ะ คือดึกมากแล้วหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อนหลับคามือถือไปเลยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น รู้อย่างเดียวพรุ่งนี้ฉันจะได้เจอหนุ่มๆ ตัวเป็นแล้ว เย้ๆๆๆๆ

ตื่นมาแปดโมงค่าาาาาาไลน์เข้ามาตรึมมมมมม !! เปิดอ่านของน้องที่มาติ่งด้วยกันก่อนเลย น้องส่งรูปเคนตะกับทะทสึนาริใส่เกงมวยมาให้ดูจ้าาาา พวกฮีใส่เล่นกันเมื่อคืนแล้วถ่ายรูปลงทวิตเตอร์ ซึ่งเคนตะใส่แล้วหลวมมากเล้ยยยยย พี่ขอโทษที่กะไซส์ผิดไปนิดนะคะ (●´ω●)


เครดิตรูปจากทวิตเตอร์น้องเคนตะก๊ะ 







เห็นรูปแล้วยังไงละ สั่นสิค๊าาาาาารออัลไลลลลลล !!!  มันดีต่อใจ มันดีต่อใจ ร้องไห้น้องน่ารัก คือมีคนให้ของน้องเยอะมากกกกกกไม่คิดไงว่าน้องจะใส่กางเกงมวยของเราใส่แล้วถ่ายรูปด้วยแล้วดูจะชอบมาก เพราะนอกจากน้องเคนตะใส่แล้วยังส่งต่อให้พี่ๆ เวียนใส่กันด้วยฮ่าๆๆๆ เล่นกันมันส์เบยยย (เดี๋ยวเค้าทำให้เพิ่มนะคะ) คนให้ก็นั่งดูรูปกรี๊ดตายไปแล้ว น่ารักแบบนี้เอาใจเอาไตไปเลยลู๊กกกกกกกก!!! รอบหน้าถ้ามีโอกาสได้ไปดูอีกจะซื้อกระเป๋าเดินทางไซส์ใหญ่สุดแล้วขนเอานวมไปให้นะคะ เอาให้ไปเปิดค่ายมวยกันไปเลย เย้วๆๆๆ 

ร๊ากกกกกกกกกก ❤️❤️

เดี๋ยวว่างๆ (ซึ่งไม่รู้เมื่อไหร่) เราค่อยมารีวิวบุไตต่อว่าไปดูมาแล้วเป็นไงบ้าง

9/26/16

Japan Summer 2016 : Drink at Kimiya the best Izakaya in Kyoto



มาต่อบล็อกสายแดก (เหล้า) กันต่อ ด้วยความที่เพื่อนเราเป็นนักดื่ม (เราเรียกพวกมันว่าเบียร์มอนสเตอร์) เวลารีวิวอะไรในเกียวโต 80% ก็เป็นร้านเหล้าแหละ จะมาคาเฟ่มุ้งมิ้งใสๆ คิตตี้ โดราเอม่อนไม่มี๊ !!!! พระอาทิตย์ตกหน่อย ป่ะ! แดกเหล้าไรงี้ ฮ่าๆๆ

ร้านที่พวกนางพาไปวันนี้อยู่แถวๆ สถานีคาวารามาจิ แปะแผนที่ไว้ให้ด้านล่างนะก๊ะ ร้านนี้ชื่อร้านว่า Kimiya ลองเสิร์ชในกูเกิ้ลดูมีลง Tabelog ด้วย 
v
v

เจ้าของร้านนี้เป็นผู้ชายสองคนค่ะ เราเรียกของเราเองว่าอ้วนผอมจอมซ่า คนอ้วนชื่อมารุจัง (มารุน่าจะมาจากตัวกลมๆ อะนะ) ส่วนคนผอมชื่อมาคุง 

ร้านจะเปิดประมาณ 5 โมงเย็นถึงประมาณเที่ยงคืนและปิดวันอาทิตย์ค่ะ 



ร้านนี้เป็นร้านแบบเค้าท์เตอร์มีที่นั่งประมาณ 10-15 ที่ ลูกค้าที่มาส่วนมากก็เป็นขาประจำค่ะ มาจนสนิทกับเจ้าของร้านและมาจนลูกค้าสนิทกันเองเลยก็มี อันนี้อายาริเล่าให้ฟัง 


เมนูเครื่องดื่มของที่ร้านก็จะมีพวกเหล้าเบียร์ ชูวไฮอะไรแบบนี้ทั่วๆ ไป แต่เราแนะนำชูวไฮของร้านนี้เลย อย่างที่เรารู้กันว่าชูวไฮคือเหล้าผสมโซดาและน้ำผลไม้ จริงๆ มันก็คือค็อกเทลแหละเพียงแต่ค็อกเทลมันไม่ใส่โซดา ชูวไฮผลไม้ของร้านนี้หั่นผลไม้ลงไปเป็นลูกเลยค่ะ เพื่อนแนะนำให้เราสั่งชูวไฮมะเขือเทศ หั่นมะเขือเทศใส่มาลูกนึงล้นแก้วเลย ฮ่าๆๆ ส่วนแก้วที่สองเราสั่งเป็นเกรปฟรุ๊ตค่ะ นี่ก็หั่นใส่มาเป็นลูกเช่นกัน ใครบอกกินเหล้าแล้วไม่ดีต่อสุขภาพเรานี่เถียงขาดใจเลย












สำหรับใครที่ต้องการความสะอาด ความเนี๊ยบ ความสโลว์ไลฟ์แบบเจแปนนีสสไตล์ให้ไปร้านอื่นเลยค่ะ อย่ามาร้านนี้ คือร้านนี้ชิวมากกกกก ทำอาหารตามใจเจ้าของร้านกะทะใบเดียวเฟี้ยวทั้งคืน มือเลอะก็เอาเช็ดกางเกงแล้วมาหั่นผักต่อ ฮ่าๆๆ อย่าได้แคร์

คนกรุงเทพเมืองฟ้าอมรแบบเราเจอความดาร์ก ความโหดของอาหารรถเข็นมาสารพัดแบบแล้วแค่มารุจังเอามือเช็ดกางเกงแค่นี้สบายมาก 








สำหรับอาหารก็เป็นกับแกล้มทั่วไป แต่รสมือของมารุจังคือดีมากกก ทำอาหารอร่อยแถมราคาก็ไม่แพงอีกด้วย คือหารกันตกมาแล้วไม่เกินคนละ 1000 เยน 

อย่างวันที่เราไปก็มีพี่ชายคนนึงแต่งตัวแบบพนักงานออฟฟิศมานั่งกินอยู่ เหมือนเค้าไปเที่ยวมาก็เอาขนมมาฝากมารุจังกับมาคุง มารุจังก็ถามพี่ชายคนนี้ประมาณว่าแบ่งลูกค้าคนอื่นกินด้วยได้ไหมพี่ชายก็โอเค มารุจังก็เอามาเทใส่จานก็แบ่งกันกิน มันดีนะกินเหล้าแล้วได้เพื่อนเพิ่ม ฮ่าๆๆ













นอกจากความพีคของชูวไฮและอาหารอร่อยแล้ว ความพีคสุดๆ ของร้านนี้อยู่ที่มาคุงค่ะ ขีดเส้นใต้ตัวใหญ่ๆ ว่า มา คุง น่า รักกกกกก !!!

ครั้งแรกเพื่อนพาไป เจอมาคุงแบบโหยยยย รักแรก
ครั้งสองรบเร้าเพื่อนพาไปอีก ไม่ได้อยากกินเหล้า พูดกันแบบแรดๆ เลยว่าอยากเจอหน้ามาคุง

แต่ก็นั่นแหละอกหักตั้งแต่ยังไม่เริ่มรัก
โกรธตัวเองไม่น่าฟังออกเลยยยยยย ทำร้ายจิตใจมาก

คือมีลูกค้าคนนึงเดินเข้ามาก็คงสนิทกับมาคุงแหละ ทักทายกัน 
ถามมาคุงว่าไม่เจอกันนานสบายดีไหม 
มาคุงตอบว่าสบายดี
ถามมาคุงว่าแล้วเด็กๆ เป็นยังไงบ้าง
มาคุงตอบว่าเด็กๆ ก็สบายดี

มาคุงแต่งงานแล้วสินะ !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! 

กลับบ้าน ไม่ด่งไม่แดกแม่งละรมย์เสีย สึส !!











8/29/16

Japan Summer 2016 : Tramonto - Italian cafe in Kyoto





วันนี้เกียวโตมีฝนตกปรอยๆ มาตั้งแต่เช้าแต่ว่าเรามีนัดกับยูเรียซังแล้วก็วากานะจังด้วยนัดกันที่บ้านอายาริตอน 10 โมง ยูเรียซังมาถึงก่อนสักพักวากานะจังก็ตามมา อายาริถามว่าอยากกินอะไร เป็นคำถามโลกแตกอีกแล้ว คิดยากจริงๆ กินมาเกือบหมดทุกอย่างแล้วมันเหลืออะไรน่าตื่นเต้นให้กินบ้างเนี่ย ฮ่าๆๆ 

อายาริเลยเสนอว่าวันนี้เราไปกินสปาเก็ตตี้กันไหมเดินจากบ้านไปได้ประมาณ 10 นาทีเท่านั้นเอง เลยตกลงว่าวันนี้พวกเรากินสปาเก็ตตี้กัน !!



แปะแผนที่ไว้ให้ค่ะ มาลงสถานี Kyotoshiyakusho mae ออกทางออกเกียวโตซิตี้ฮอลล์ได้เลย เดินมาด้านหลังแป่บเดียวก็เจอ :))



ถ้าไม่สังเกตดีอาจจะเดินเลยร้านได้ค่ะ เพราะร้านซ่อนตัวอยู่ในตึก เหมือนเป็นอพาร์ตเม้นท์หรือสำนักงาน ซึ่งเราต้องเดินเข้ามาด้านในของตึกก็จะเจอร้านค่ะ

ร้านชื่อว่า Tramonto トラモント
เป็นร้านอาหารอิตาเลี่ยนเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก น่าจะรับลูกค้าได้ไม่เกิน 15 ที่ โดยมีเจ้าของเป็นโอจี้ซังกับโอบ้าซังอายุประมาณ 60-70 ปีค่ะ โอจี้ซังเป็นเชฟ ส่วนโอบ้าซังก็ดูแลลูกค้าและเสิร์ฟอาหาร อายาริบอกว่าปกติมีพนักงานแค่สองคนในร้านคือโอบ้าซังกับโอจี้ซัง แต่วันนี้เห็นมีผู้ชายหนุ่มๆ ด้วยอีกคนนึงอาจจะเป็นพนักงานใหม่


ตอนที่ไปถึงมีลูกค้าอยู่ประมาณ 2 โต๊ะ อายาริเตือนมาก่อนแล้วว่าอาจจะต้องรออาหารนานหน่อย เพราะมีโอจี้ซังเป็นเชฟแค่คนเดียว เราก็โอเคไม่มีปัญหา (แต่ก็หิวมากแหละ ฮ่าๆๆ)


พอไปถึงโอบ้าจังก็เอาน้ำมาเสิร์ฟ คือเป็นผู้สูงอายุที่แข็งแรงมากกกกกก เสิร์ฟไปยิ้มไปพูดคุยหัวเราะกับลูกค้าดูมีความสุขกับการทำงาน อยากให้ทุกคนทำงานด้วยหัวใจแบบนี้ รวมถึงเราเองด้วย


โอบ้าซังเอาเมนูมาให้เป็นเมนูแบบกระดาษเอสี่เขียนมือ คาตาคะนะมารัวๆ ถามว่าอ่านได้ไหม?? อ่านได้ค่ะแต่กว่าจะอ่านสะกดแต่ละตัวออกคงได้กินพรุ่งนี้ มีความวินเทจสูง ฮ่าๆๆ ขอเมนูภาษาอังกฤษดีกว่า เมนูภาษาอังกฤษก็เป็นเอสี่แหละค่ะ แต่ใช้พิมพ์และเคลือบพลาสติก นี่ก็ยังมีกลิ่นอายความวินเทจเล็กๆ 


ในเมนูก็จะเป็นพวกอาหารอิตาเลี่ยน สปาเกตี้ พิซซ่า บลา บลา แล้วก็จะมีพวกกาแฟค่ะ อาหารจานเดียวแบบพวกสปาเกตตี้ก็จะมีสองไซส์คือเล็กกับใหญ่ พวกเราสั่งเป็นไซส์เล็กไป ราคาประมาณ 800-900 เยน  

ไปกันสี่คนจริงๆ ก็สั่งเป็นจานใหญ่สองจานมาแบ่งกันได้นะ แต่ด้วยความที่อยากชิมสปาเกตตี้หลายๆ แบบก็ตามนี้แหละ กินหมดหรือไม่หมดมาว่ากันอีกที 






สั่งอาหารผ่านไปสัก 5 นาที โอบ้าซังก็เอาออเดิร์ฟเป็นขนมปังมาเสิร์ฟก่อน เรานั่งแทะขนมปังเม้าท์มอยไปสักพัก ของโต๊ะข้างๆ ที่มาก่อนเราก็มาเสิร์ฟ สรุปรอไปเกือบชั่วโมงกว่าจานแรกจะมาาาาา !!! 

ของอายาริมาเสิร์ฟก่อนคนแรกเลย แต่ขอกรี๊ดก่อนเลยพออาหารมาเสิร์ฟก็งงว่านี่สั่งไซส์เล็กไปไม่ใช่เหรอ?!?! แต่มาแบบใหญ่มากกกก คนกินน้อยๆ แบ่งกินสองคนยังได้เลยอะ อยร.สั่งเป็นสปาเกตตี้ผัดใส่น้ำมันมะกอกคือมันแบบเพลนๆ มากเลย เราชิมไปคำนึง แก๊!!!!!! มันดีงามมมมมมม มันกินแล้วสดชื่น มันดีต่อใจ !!!! มันไม่เพลนแบบหน้าตา อยากเนียนกินของเพื่อนต่อแต่เดี๋ยวเพื่อนตบ ฮ่าๆๆ


ต่อมาเป็นของยูเรียซังเป็นแบบผัดซอสมะเขือเทศโอ้ยยยยยย !!! อันนี้ก็ดีงาม ในรสของซอสมะเขือเทศมันมีความนัวซ่อนอยู่ 


เรียงกันมารัวๆ ค่ะ ของวากานะจังเป็นผัดซอสอะไรซักอย่างแต่ผัดใส่ปลาหมึกสับลงไปด้วยดีงามอีกแล้ววววว อร่อยทุกจานเลย ในทุกจานของโอจี้ซังคือมันมีความนัวผสมอยู่ในเส้นสปาเกตตี้ ซอสที่ผัดต่างกันไปแต่ความสดชื่นความอร่อยมันเหมือนกันทุกจานเลย

สุดท้ายของเราเองคาโบนาร่า เฮ้ยยย โอจี้ซังใส่เบคอนมาเหมือนแจกฟรี เราแฮปปี้ เรามีความสุข ให้เราจ่ายจานละ 1500 เยนเราก็ยอม !!! 





















พอกินเสร็จเราก็ยังพร่ำเพ้อถึงร้านนี้อยู่ เราไม่เคยกินสปาเกตตี้ที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน นี่พิมพ์ไปใจก็คิดถึง ฮืออออ

เราเคยดูซีรี่ย์เรื่องแบมบิโนะ ที่พระเอก(มัตซึ จุน) เข้ามาอยู่ในโตเกียวเพื่อจะเป็นเชฟร้านอาหารอิตาเลี่ยน เค้าฝึกทำสปาเกตตี้ทุกวันๆ ทำจนเก่งจนคนกินแล้วความรู้สึกปริ่มมันออกมาทางสีหน้ากินแล้วมีความสุข สดชื่น ตอนเราดูเรายังคิดเลยว่าสปาเกตตี้มันทำให้เรารู้สึกแบบนั้นได้ด้วยเหรอเว่อร์ไปป่าว วันนี้มากินร้านนี้ได้รู้สึกแบบนั้นแล้ว คือละครไม่ได้เว่อร์อะไรเลย คิดว่าถ้าสั่งอะไรมาอีกเราก็ยังจะกินได้อีกเรื่อยๆ เพราะมันดีจริงๆ


อายาริบอกว่าครั้งหน้าถ้ามาอีกก็ให้ชวนเพื่อนผู้ชายมาด้วยเราจะได้สั่งมาชิมเยอะๆ ได้ เพราะผู้ชายกินเยอะถ้าเรากินไม่หมดจะได้ช่วยกิน ฮ่าาาา





8/28/16

Japan Summer 2016 : AFURI Ramen Harajuku ราเมงส้มยูซุ



ออกตัวไว้ก่อนว่าเราเป็นคนที่ชอบกินราเมนมากกกกกกกกก มากสะจนมาโตเกียวรอบนี้กินทุกวันเลย วันละชามสองชาม กินจนรู้สึกว่าตัวเองท้องอืด ฮ่าๆๆๆ
แต่ก็ไม่ได้กินราเมนตามรีวิวอะไรมากมายนะ คือเรียกว่าหิวแล้วเดินผ่านร้านไหนพอดีก็จะเข้าไปกิน ดีบ้างเฟลบ้างในแบบฉบับของทราเวลเลอร์ ( ̄▽ ̄) 

แต่คือก่อนมาก็หาข้อมูลมาบ้างแหละว่าร้านไหนอร่อย ร้านไหนต้องกินอะไรแบบนี้ เพื่อที่ทราเวลเลอร์ก็จะได้ไม่เฟลตลอดทั้งทริปอะเนอะ 
หลักการเลือกร้านราเมนอร่อยๆ ตามแบบของเราคืออออออออ เดินทางสะดวก จบปึ้ง !!! ร้านไหนที่ต้องเข้าตรอกเข้าซอยตัดออกไปค่ะ ไม่ได้ฉลาดเดินตามป้ายลายแทงขนาดนั้น ฮ่าๆๆ และหวยก็มาออกที่ร้าน Afuri Ramen Harajuku :))

แอบแปะแผนที่ไว้ให้




วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะอยู่โตเกียวแล้วค่ะ นอกจากไปกินครีมพัฟโตโตโร่ที่สำเร็จไปหนึ่งอย่างแล้ว แผนที่เหลือแม่งเฟลหมดเลยเนื่องจากนอนไม่ตื่น ฮ่าๆๆ วันนี้เลยตื่นเช้าหน่อย (จริง ๆ ถ้าไม่ต้องเช็คเอ้าท์ก่อน 11 โมงก็คงยังนอนอยู่) ลงมาเช็คเอาท์เกือบ 11 โมงฝากกระเป๋าไว้ที่เกสเฮาส์แล้วไปอิเคะบุคุโระเผื่อกลับไปซื้อของติ่งตามออเดอร์ ฮ่าๆๆ 


เสร็จแล้วก็ได้เวลาไปตามล่าหาราเมนค่ะ 

ถ้าใครมีบัตรเมโทรแล้วก็นั่งเมโทรได้เลยค่ะ เรานั่ง Fukutoshin line จากอิเคบุคุโระ แป่บๆ ก็มาถึงสถานีเมจิจิงกุมาเอะ แต่ถ้าใครไม่ได้ใช้เมโทรก็นั่งเจอาร์มาลงที่สถานีฮาราจูกุเลยก็ได้ค่ะ อันนี้จะใกล้กว่า

เรานั่งมาถึงเมจิจิงกุแล้วก็งงว่าออกทางไหน คือสถานีญี่ปุ่นมันค่อนข้างใหญ่เนอะ ออกผิดชีวิตจบ ฮ่าๆๆ แต่ด้วยความที่ก่อนมาก็เช็คจากสตรีทวิวมาแล้วว่าร้านอยู่ตรงไหน ก็พุ่งตัวไปที่ป้ายแผนผังสถานีเลยค่ะว่าถ้าจะไปตรงนี้ๆ ต้องออกประตูไหน บอกเลยว่าเมื่อก่อนดูไม่เป็นโง่เรื่องทิศทางและการดูแผนที่มากกกกกก แต่เหมือนกับพอได้มาหลายๆ ครั้งมันก็ซึมซับเข้าไปสู่สมองน้อยๆ เองไปโดยปริยาย

เราคิดว่าด้วยความที่ราเมนร้านนี้ค่อนข้างมีชื่อเสียงเลยมีเขียนบอกตำแหน่งอยู่ในแผนผัง อันนี้โชคดีมากไม่ต้องเดินหาให้เหนื่อย เราเดินในสถานีตามป้ายทางออกมาเรื่อยๆ จะมาถึงทางออกก็โผล่มาเจอสถานีฮาราจูกุพอดี 
วันนี้วันศุกร์คนมาที่ฮาราจุกุเยอะมาก คนแน่นมาก เราเคยมาแล้วครั้งนึงเมื่อหลายปีที่แล้วพบว่าฮาราจุกุไม่ใช่แนวเรา ถ้าตัดพวกร้านอาหารแนวๆ คาวาอี้ออกไป เราว่าพวกเสื้อผ้าแฟชั่นที่ขายในฮาราจุกุเนี่ยมาซื้อแพลตตินั่มก็ได้เหมือนกันเด่ะแถมจะถูกกว่าด้วย 





วันนี้เราจะมากินราเมนซุปใส ปกติเวลาเรากินราเมนเราก็กินพวกทงคัตทสึ, มิโสะ, แบบที่น้ำข้นๆ ใช่ไหมคะ แต่ที่นี่จะมีเป็นซุปใสพวกซุปเกลือ ซุปส้มยูซุอะไรแบบนี้ซึ่งมันจะไม่เลี่ยนไงมันจะออกเปรี้ยว ๆ หน่อยสดชื่นเหมาะกับหน้าร้อน เราเคยกินราเมนซุปส้มยูซุที่คานาซาว่ามา คือมันอร่อยมากนะติดใจ
แต่ถ้าใครไม่ชอบอะไรที่เปรี้ยวๆ ก็คงไม่ค่อยถูกปากมั้งนะ 

จริงๆ ร้าน Afuri Ramen มีหลายสาขานะ แต่เราเลือกมาที่สาขานี้เพราะว่าเดินทางสะดวกด้วย และอีกอย่างคือจะมาจอนนี่ช้อปส์ที่ฮาราจุกุด้วย ฮ่าๆๆๆ แต่พอกินเสร็จปรากฏว่าหาจอนนี่ช้อปส์ไม่เจอค่าาาา อดไป (แต่จะว่าไปหาไม่เจอก็ดีนะ เพราะถ้าเจอเราต้องมีเสียเงินอีกแน่ๆ) 


วิธีการเดินทางก็ไม่ยากค่ะ เอาง่ายๆ ถ้าเราออกมาจากสถานีฮาราจุกุ ให้ข้ามถนนมาฝั่งทาเกะชิตะสตรีท หรือฮาราจุกุนั่นแหละ หันหลังให้ฮาราจุกุแล้วเดินมาทางขวามือของเราเลยค่ะ เดินมาเรื่อยๆ จนเจอสามแยกเนสกาแฟคาเฟ่อยู่ตรงหัวมุมถนน Afuri Ramen จะอยู่ฝั่งตรงข้ามกันเลยค่ะ ร้านสีขาวมองเห็นง่ายๆ เลย

ในร้านจะมีประมาณ 10-15 ที่นั่งค่ะ เป็นเค้าท์เตอร์ทั้งหมดเลย จะมานั่งอ้อยอิ่งกินไปมอยไปไม่ได้ค่ะ ส่วนการสั่งก็เดินไปกดตั๋วที่ทิคเกตแมชชีนตามแบบร้านญี่ปุ่นทั่วไปค่ะ แล้วมายื่นให้พนักงานที่หน้าเค้าท์เตอร์



วันที่เราไปโชคดีไม่ต้องรอคิวนาน เดินเข้าไปแล้วมีโต๊ะนึงกำลังลุกไปพอดีได้เสียบแทนเลย แอบเอารูปจากพันทิพที่แปลเมนูภาษาไทยมาแปะไว้ให้ด้วยเผื่อว่าใครอยากไปตามรอยราเมน เพราะตู้ขายตั๋วเค้ามีแต่ภาษาญี่ปุ่นค่ะ
v
v
v

Cr.Tokyonist (pantip)


เมนูร้านนี้ไม่เยอะมากค่ะ ก็มีเท่าที่เห็นแหละที่เหลือก็พวกเบียร์ พวกกับแกล้มต่างๆ สั่งเพิ่มได้จากตู้กดเช่นกัน 


วันนี้เราสั่งทสึเกเมนซุปส้มยูซุไป ทสึเกเมนคือราเมนที่แยกเส้นกับซุปออกจากกัน วิธีกินก็คีบเส้นไปจุ่มในน้ำซุปแล้วก็กิน มันฟินตรงการได้ยกถ้วยซุปร้อนๆ ซดตามเข้าไป
น้ำซุปส้มยูซุมันจะเปรี้ยวๆ นิดนึงค่ะ อุดมไปด้วยงาขาวหัวหอมหั่นในถ้วย ใครเกลียดหัวหอมหรือผักมีกลิ่นให้ผ่านเมนูนี้ไปได้เลยเราว่าคุณไม่รอดว่ะ ฮ่าๆๆ


ในชามราเมนจะมีหมูชาชูว โนริ ไข่ยางมะตูมกับผักอะไรไม่รู้อะที่เค้าชอบใส่ในสลัด จะบอกว่าหมูอร่อยมากกกกกกกก มันมีความหวานนิดๆ นุ่มๆ แต่เอาจริงๆ หมูชาชูวในราเมนที่ญี่ปุ่นนี่อร่อยทุกร้านเลยเราว่า

ข้อดีคืออร่อย
ข้อเสียคือให้น้อยไปหน่อย
ถ้าเทียบกับร้านราเมนทั่วไปนะ ไซส์เล็กของร้านนี้ถือว่าเล็กมาก เรากินไม่อิ่ม (u_u)









กินอิ่มแล้วกลับไปเอากระเป๋าที่เกสเฮาส์ต่อ เดี๋ยวต้องไปชินจุกุนั่งไนท์บัสไปเกียวโตคืนนี้ อยากรีวิวบัสสเตชั่นใหม่ที่ชินจุกุ แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาเลย เสียใจจจจ




6/26/16

Japan Summer 2016 : Shirohige's cream puff factory




มาโตเกียวครั้งนี้วางแผนไว้เยอะมากกกก(ทั้งๆ ที่มีเวลาแค่สองวันยังไม่เจียม) จะไปไอ้นั่น จะกินไอ้นี่ จะดูไอ้โน้น ผลสรุป ตื่นสายด้วย ขี้เกียจหาด้วยได้ไปจริงๆ ตามแพลนก็แค่ไม่กี่ที่ แต่ที่แน่ๆ ที่ขีดเส้นใต้สองเส้น ย้ำๆๆด้วยปากกาไฮไลท์สองสีทำตัวหนาว่ายังไงต้องไปแน่ๆ คือ Shirohige's cream puff factory 

ที่นี่คือร้านอาหารอิตาเลี่ยนธรรมดานี่แหละ แต่ความไม่ธรรมดามันอยู่ตรงที่นอกจากจะมีอาหารอิตาเลี่ยนแสนอร่อยแล้ว จุดขายของร้านยังมีครีมพัฟรูปโตโตโร่ไว้ให้เราเซลฟี่ เอ้ยย!! ไว้ให้กินด้วยละ ฮ่าๆๆ



::วิธีการเดินทาง::

นั่งสาย Odakyu Odawara [For Hon Atsuki] คือสายนี้มันผ่านสถานีใหญ่ๆ หลายสถานีเลย ขึ้นจากชินจุกุก็จะง่ายค่ะ นั่งยาวมาลงที่สถานี Setagaya-Daita ได้เลย [สามารถเช็คสายรถไฟได้ที่ Hyperdia.com นะก๊ะ] ส่วนเรามีตั๋วของเมโทรซึ่งนั่งเมโทรได้ฟรี แต่ว่า Odakyu ต้องเสียตังนะ เลยต้องหาวิธีเสียเงินค่ารถไฟให้น้อยที่สุด เราเลยนั่งเมโทรมาลงสถานี Yoyogi Uehara แล้วเปลี่ยนมานั่ง Odakyu Odawara ต่ออีก 2 สถานีก็มาถึงสถานี Setagaya-Daita เสียเงินไป 130 เยน ( ̄▽ ̄) ขากลับก็นั่งแบบเดิมค่ะ เสียอีก 130 เยน จะบอกว่าอยู่โตเกียว 2 วันซื้อบัตรเมโทรสำหรับ 48 ชั่วโมง 1200 เยนเราใช้คุ้มมากกกกกก น่าจะเกิน 5000 เยนนะ ฮ่าๆๆ ใครมาเที่ยวโตเกียวแนะนำให้ซื้อนะคะ เพราะเมโทรค่อนข้างมีรถไฟครอบคลุมพื้นที่เที่ยวหลักๆ ในโตเกียวเลยค่ะ





ถึง Setagaya-Daita แล้ว เราเดินออกมาทางออก [ซึ่งเหมือนกับว่ามีอยู่ทางเดียวนะ] สถานีเป็นสถานีที่ค่อนข้างโลคัลค่ะ ไม่คิดว่าจะมีสถานที่ยอดฮิตซ่อนตัวอยู่แถวนี้ ตอนที่เรามาสถานีกำลังปรับปรุงบางส่วนอยู่ ซึ่งอาจจะทำให้ทันสมัยขึ้นเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มากขึ้นด้วยแหละ แค่คนมาที่ร้านโตโตโร่นี่วันนึงก็เป็นร้อยแล้วนะเราว่า


ก่อนมาก็หัดเดินในสตรีทวิวมาแล้วบ้างละ แต่ว่าด้วยความเป็นเขตชุมชนทำให้ถนนที่เป็นซอยเล็กๆ ค่อนข้างเยอะ และในสตรีทวิวคือบางเส้นเราก็เดินเข้าไปไม่ได้ ทำให้วันนี้ยังงงๆ อยู่ว่าออกจากสถานีแล้วเราจะไปยังไงต่อดี แต่ถึงจะงงยังไงก็ขอไปตายเอาดาบหน้าละกันเนอะ ไหนๆ ก็มาแล้วนี่ ฮ่าๆๆ




เดินมาถึงทางออกของสถานี เลยจะถามนายสถานีว่าร้านนี้ไปยังไง ยังไม่ทันจะอ้าปากบอกเลยค่ะ คุณลุงนายสถานีพูดออกมาว่า "โตโตโร่ เดสุก๊ะ?" ฮ่าๆๆ (แสดงว่ามีคนมาถามทุกวันแน่ๆ เลย) แล้วลุงก็หันไปหยิบแผนที่เล็กๆ ขนาดเอสี่มาให้เราดูว่าต้องเดินไปทางไหน และคุณลุงพูดภาษาอังกฤษไม่ได้นะคะ แต่โชคดีด้วยความที่เรียนภาษาญี่ปุ่นมาบ้างบวกกับภาษามือก็เข้าใจได้ในระดับนึง แล้วเราก็เดินตามทางที่คุณลุงบอกมาเรื่อยๆ ค่ะ


เอาแผนที่แปะไว้ให้ด้านล่างนะก๊ะ

เราออกมาจากสถานีแล้วเลี้ยวขวา เดินตรงมาจะเจอร้านลอว์สัน เดินตรงมาอีกแป่บนึงจะเจอตึกสีขาวให้เดินผ่านตึกสีขาวมานะคะ เราจะเจอซอยแรกเป็นซอยเล็กๆ ให้เราเลี้ยวขวาตรงเข้าไปเลย ไม่ต้องตกใจว่ามันจะมีร้านจริงๆ เหรอ?? เพราะมันคือย่านที่พักอาศัย แต่เดินไปสักพักเราจะเจอป้ายบอกทางว่าประตูสีเขียวว่าโตโร่คาเฟ่ เดินเข้าไปเลยค่ะ 

จากสถานีใช้เวลาเดินไม่ถึง 10 นาทีค่ะ เพราะตรงอย่างเดียวเลย




ระหว่างทางเดินเข้ามาเงียบมากค่ะ เพราะมันเป็นวันธรรมดาช่วงบ่ายคนก็ไปทำงานไปเรียนกันหมด เราก็แอบกังวลว่าจะมาถูกทางไหมนะ เพราะมันไม่มีสัญลักษณ์อะไรบอกเลยจริงๆ ว่ามีร้านน่ารักๆ อยู่ในซอยนี้ 

ปรากฏว่ามีชายหญิงคู่นึงเดินสวนทางมา ในมือถือถุงที่มีสัญลักษณ์โตโตโร่อยู่ :)) นี่รีบเดินเข้าไปชาร์จ ฮ่าๆๆ ถามเค้าว่าร้านอยู่ตรงไหน เค้าบอกเดินตรงไปเรื่อยๆ เดินตรงอย่างเดียวอีกแป่บนึงก็เจอ อ่ะ !! เดินไปปปปปปป






และแล้ววววววว เราก็มาถึง !!! เราจะเจอป้านของร้านอาหารอิตาเลี่ยนก่อนค่ะ ชื่อ TOLO แล้วเราจะเห็นซอกเล็กๆ ซึ่งมันเป็นซอกเล็กๆ จริงๆ ค่ะ ซอกที่ปกคลุมไปด้วยร่มไม้ ให้อารมณ์เหมือนเรากำลังเดินเข้าไปในป่าของโตโตโร่ ใครจะรู้ละว่าหลังพุ่มไม้มีโตโตโร่ซ่อนอยู่ 

เราจะบอกว่าบรรยากาศในนี้ต่างจากข้างนอกลิบลับเลย พอผ่านร่มไม้เข้ามาแล้วมันให้ความรู้สึกเหมือนอยู่อีกโลกนึงไปเลย (ไม่ได้เว่อร์นะ ฮ่าๆๆ) เราว่าถ้าใครเป็นแฟน Ghibli ก็คิดว่าคงรู้สึกแบบเดียวกันแหละ ที่ไหนที่เป็นโลเคชั่นของจิบลิมันก็จะทำให้หัวใจเต้นแรงทุกครั้งเลย ขนาดเราไป Ghibli museum มาสองครั้งแล้วเรายังตื่นเต้นทุกครั้ง ให้ไปอีกหลายๆ ครั้งเราก็จะไป ♡♡♡









คาเฟ่ที่นี่จะมีสองส่วนนะคะ ชั้น 1 จะขายครีมพัฟโตโตโร่สำหรับกลับบ้านอย่างเดียว นอกจากจะมีครีมพัฟแล้ว ก็จะมีเป็นพวกคุ้กกี้ขายด้วย เป็นคุ้กกี้ที่มีคาแรคเตอร์ต่างๆ มาจากเรื่องโตโตโร่ เช่น ต้นไม้, เห็ด ฯลฯ สำหรับรสชาติคุ้กกี้เราไม่ได้ชิมนะคะ มาเพื่อกินครีมพัฟอย่างเดียว 
นอกจากขายของสำหรับเทคโฮมแล้ว การจัดร้านก็เหมาะกับติ่งมากๆ ทุกมุมสามารถถ่ายรูปได้หมดเลย

ส่วนชั้นสองก็จะเป็นส่วนของอิตาเลี่ยนคาเฟ่ละ ก็จะมีกาแฟ, สปาเก็ตตี้, พาสต้า, ขนมนมเนยที่เราสามารถสั่งทานที่ร้านได้ และถ้าใครอยากกินครีมพัฟโตโตโร่ก็สามารถสั่งทานได้เลยค่ะ เค้าจะมีเมนูให้ 
ใครอยากมาติ่งที่นี่ แต่เพื่อนไม่รู้จักโตโตโร่ก็เจอกันครึ่งทางค่ะ เพื่อนกินอาหารอิตาเลี่ยนรอไปส่วนเราก็กินโตโตโร่ แฮ่ๆๆ








วันที่เรามาเป็นวันธรรมดาช่วงบ่าย แต่!!! อย่าประมาทไปนะคะ เพราะแฟนคลับจิบลิไม่ได้มีเฉพาะคนญี่ปุ่นเนอะ วันที่เราไปมีนักท่องเที่ยวหลายโต๊ะเลย มาตามรอยแบบเราเนี่ยแหละ แล้วมีโต๊ะแค่ประมาณ 5 โต๊ะ เท่านั้นเอง แนะนำว่าเป็นไปได้ให้มาวันธรรมดาจะดีกว่า เพราะขนาดมาวันธรรมดายังต้องรอคิว เกือบ 10 นาที จริงๆ ข้างนอกก็นั่งได้นะคะ แต่อากาศเย็นมากกกก วันที่ไปก็ประมาณ 20 องศา ซึ่งศรีจะไม่ทน !!!




ครีมพัฟของที่นี่จะมี 3 ไส้นะคะ มีชาเขียว, ช้อคโกแลต, และครีม เราสั่งเป็นชาเขียวไป ถามว่าอร่อยไหม เราว่าตัวไส้อร่อยนะคะ แต่ตัวที่เป็นพัฟมันแข็งไปหน่อย กัดทีร่วงกรู 
อาจจะต้องอุ่นร้อนนิดนึงหรือยังไง ฮ่าๆๆ แต่มาเอาบรรยากาศเนอะไม่ได้มากินให้อร่อยแค่ได้มาเห็นก็โอเคละ 

เราสั่งครีมพัฟหนึ่งชิ้น ประมาณ 440 เยน กับอิตาเลี่ยนโซดา 400 เยน สรุปมื้อนี้คือหมดไปประมาณ 800 กว่าเยน ถ่ายรูปก็คุ้มละ ถ้าครั้งหน้ามาอีกจะลองกินพาสต้าดูบ้าง 

















บล็อกหน้าเขียนอะไรดี ?!?!?