1/1/18

สมัครเรียนภาษาเยอรมัน



สวัสดีค่ะสำหรับบล็อกวันนี้เราจะมาเล่าเรื่องไปสมัครเรียนภาษาเยอรมัน 
จริง ๆ แล้วเราต้องไปรายงานตัวที่ Ausländeramt ก่อนแล้วทางอัมจะให้รายชื่อโรงเรียนมา
เราก็เลือกเรียนในลิสต์ที่อัมให้มานั่นแหละ แล้วเหมือนทางรัฐจะช่วยจ่ายค่าเรียนให้ด้วย
ถ้าเราเรียนโรงเรียนที่รัฐกำหนดมา แต่ว่าเท่าไหร่นั้นเราก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน 


แต่ด้วยความที่ไม่อยากรอทางอัมเพราะคิวเรียนค่อนข้างนานเราเลยไปสมัครเองค่ะ
ไม่ได้ส่วนลดอันนี้ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร ดีกว่าต้องมารอเรียนตั้งหลายเดือนอ่ะเนอะ 
โรงเรียนที่เราเลือกอยู่ในไมนซ์ค่ะ ซึ่งเค้ามีสาขาที่วีส์บาเด้นเมืองที่เราอยู่ด้วย
แต่ที่วีส์บาเด้นเปิดเทอมเดือนมีนาคมโน่นเลยเราเลยมาเรียนที่ไมนซ์แทน
ซึ่งระยะเวลาการเดินทางไม่ต่างกันมากค่ะ บ้านเราอยู่วีส์บาเด้นก็จริง 
แต่ถ้านั่งรถบัสมาไมนซ์ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึง เหมือนบ้านเราเนี่ยอยู่ตรงกลาง
ระหว่างสองเมืองนี้


จากป้ายรถบัสบ้านเรานั่งสาย 9 ไปลงที่สถานีอะไรสักอย่างนึงบนสะพานข้ามแม่น้ำไรน์
แล้วต่อสาย 54 ก็จะนั่งไปถึงแถวโรงเรียนเลย 
แต่ถ้าไม่อยากต่อรถก็นั่งสาย 9 ไปลงถัดไปอีกสถานีนึงแล้วเดินต่อประมาณ 15 นาทีก็ถึงค่ะ 





เราลงสมัครไป 2 คอร์สคือ A1,A2 จากราคาปกติราคาคอร์สละ 380ออยโร 
แต่ทางสถาบันลดราคาคอร์สละ 80ออยโร เราก็จ่ายแค่คอร์สละ 300 เท่านั้น
บวกค่าแรกเข้า 35ออยโรค่ะ 
ของเราเรียนวันจันทร์-พฤหัสบดี 9.00-12.15 เรียกว่าเรียนกันแบบฟูลไทม์เลยล่ะ 


ของเราเปิดเรียนวันแรกคือวันที่ 23 กุมภาพันธ์ค่ะ ตอนนี้ก็รอเรียนไปอีกประมาณ 2 เดือน
เอาให้เซ็งกันไปข้างนึงเลย ฮ่าๆๆ
 
แต่เอาจริงๆ ถ้าไม่เหนื่อย ถ้าไหวก็อยากจะเรียนให้สูงที่สุดเท่าที่กำลังเราจะทำได้
เพราะทางหลัวค่อนข้างจะสนับสนุนให้เรียนเลยแหละ งานจะทำก็ได้หรือไม่ทำก็ได้
ถ้าหายังไม่ได้ก็ไม่บังคับ หลัก ๆ ให้เราเรียนให้จบก่อน เรื่องอื่นไว้ว่ากันทีหลัง
แต่ก็อย่างว่าบางทีเราใช้เงินเค้าเราก็เกรงใจเนอะ บางทีเราอยากได้ของที่มันไร้สาระ ฮ่าๆๆ
จะมาขอเงินเค้าซื้อมันก็กระไรอยู่
 
ฮีก็เลยบอกถ้าอยากทำก็ทำเป็นมินิจ้อบ วันละสองสามชั่วโมงก็ได้
 





จะบอกว่าโรงเรียนอยู่ใจกลางเมืองเลย เรียกว่ากลางแหล่งช้อปปิ้ง 
ในอนาคตจะได้มีการล้มละลายเกิดขึ้นแน่นอน 




12/20/17

ทำเรื่องนัดเพื่อต่อวีซ่ากับ Ausländeramt



หลังจากที่เราได้ทำการย้ายชื่อเข้าทะเบียนบ้านที่ Rathaus เรียบร้อยแล้ว คราวนี้ก็มาถึงคราวที่ต้องทำนัดกับทาง Ausländeramt เพื่อที่จะทำการต่อวีซ่าค่ะ เพราะที่เราได้มาเป็นวีซ่าติดตามสามีอายุวีซ่าจะแค่ 3 เดือนเท่านั้น สิ่งที่เราต้องทำคือนัดหมายกับทางอัมท์ให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะต่อวีซ่าระยะยาว และเราจะได้ใบอนุญาตให้สามารถทำงานได้ด้วย ตอนนี้เราเองยังทำงานไม่ได้ค่ะ เพราะยังไม่ได้ไปรายงานตัวที่อัมท์ ก็ต้องรอไปก่อน
วิธีการนัดหมายกับทางอัมท์ (ของเขตเรา)
ทางสามีได้ส่งเมลเข้าไปที่เว็บไซต์ของอัมท์ (แต่ละเขตก็สามารถเสิร์ชจากกูเกิ้ลได้เลย) เค้าจะมีระบบการทำนัดของเค้าที่ต้องใส่ข้อมูลพวกชื่อ ว ด ป เกิด และเลขพาสปอร์ต หลังจากนั้นก็รอทางอัมท์ตอบกลับมาค่ะ
เรารอประมาณสองวันทางอัมท์ก็ตอบกลับมา ซึ่งการตอบกลับมานั้นไม่ได้หมายความว่าได้วันนัดแล้วนะคะ สิ่งที่อัมท์ตอบกลับมาก็คือได้รับรีเควสของเราแล้วและจะส่งจดหมายมาคอนเฟิร์มวันนัดอีกทีนึง อ่ะ รอในรอไปอีกกกกกก
ผ่านไปสองอาทิตย์ (ใช่ค่ะสองอาทิตย์จริง ๆ อ่านไม่ผืดหรอก) ทางอัมส์ก็ส่งจดหมายมาคอนเฟิร์มวันนัด จ่าหน้าซองว่า Frau Nattiporn Mayer เป็นการได้รับจดหมายในเยอรมันครั้งแรก ฮ่าๆๆ ตื่นเต้นมาก ในขณะที่แกะซองก็ภาวนาว่า นัดอาทิตย์หน้านะ อย่าให้รอนานอีกใจไม่ดี เบื่ออยู่บ้านแล้วพอเปิดมาปุ๊บก็พบว่า อีดอกกกกก นัดวันที่ 23-01-2018 จ้าาาาา รอในรอในรอไปอีกเดือนนึง
ใบนัดจากทางอัมท์




ตอนนี้ก็รอต่อไปค่ะ เมื่อวานก็ไปสมัครเรียนมาเรียบร้อยแล้ว ไว้บลอกหน้าเดี๋ยวจะมาเขียนเรื่องการสมัครเรียนภาษากันนะคะ












12/14/17

มาถึงเยอรมันแล้วต้องทำอย่างไรบ้าง



อันนี้เราเขียนจากประสบการณ์ของตัวเองนะคะ ซึ่งเมืองอื่น ๆ ก็จะมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไปเนอะ


หลังจากที่พี่โดม (สามีหนูเอง) กลับมาเยอรมันฮีก็ได้ถือใบทะเบียนสมรสตัวจริง (คร2 และ คร3) กลับมาที่เยอรมันด้วย พอฮีกลับมาถึงแล้วก็เอาเอกสารทั้งสองตัวนี้ไปที่ Standesamt ใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ ทางเจ้าหน้าที่ก็ส่งจดหมายมาให้เข้าไปรับเอกสาร ซึ่งเอกสารที่เราได้มาก็จะเป็นใบทะเบียนสมรสฉบับภาษาเยอรมัน



เรามาถึงเยอรมันวันที่ 6 ธันวาคม ด้วยความที่เครื่องดีเลย์จากที่ต้องถึงประมาณ 7 โมงเช้ากลายเป็นว่าเรามาถึงตอนทุ่มนึง ดีเลย์ไปประมาณ 10 ชั่วโมงค่ะสวย ๆ  พอถึงบ้านไม่ทำอะไรเลยค่ะนอนแม่งทั้งยังชุดที่ใส่เมื่อสองวันก่อนนั่นแหละ ฮ่าๆๆ คือมันไม่ไหวจริง ๆ อดนอนมาคืนนึงแถมเจอเครื่องดีเลย์ไปอีก 10 ชั่วโมง อย่าเรียกว่านอนให้เรียกตายเถอะ พี่โดมทำซุปมันฝรั่งไว้ให้นางก็นอนไม่ตื่นมากินตื่นมาอีกทีก็ประมาณ 7 โมงเช้าของอีกวัน


เช้าวันที่ 7 คุณลุงมาร์ตินเจ้าของอพาร์ตเม้นท์ก็เอาเอกสารมาให้ค่ะ เอกสารชื่อว่า Vermieterbescheinigung/Wohnungberbestätigung โดยเรานำเอกสารนี้มากรอกข้อมูลเกี่ยวกับตัวเราเข้าไป ว่าเราคือผู้ที่จะมาอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าการย้ายชื่อเข้าทะเบียนบ้านนั่นเอง


อันนี้คือเอกสารที่คุณลุงมาร์ตินให้มา






โดยเราต้องนำเอกสารนี้ + ทะเบียนสมรส (ตัวที่เป็นเวอร์ชั่นเยอรมัน หรือตัวที่เราแปลและรับรองมาจากสถานทูตในไทยก็ได้ค่ะ) + พาสปอร์ต ไปยื่นที่ Rathaus Wiesbaden Schierstein (หรือใครอยู่เมืองไหนก็ไปยื่นที่เมืองนั้นนะคะ ก่อนเข้าไปเราไม่ได้ทำนัด แต่ต้องเช็ควันและเวลาที่เปิดปิดทำการจากเว็บไซต์ก่อน เพราะสถานที่ราชการบ้านเค้าไม่ได้เปิดจ-ศ เหมือนบ้านเรา อย่างที่นี่จะเปิดเฉพาะ จันทร์ 14.00-18.00 และ พฤหัสบดี 8.00-12.00 (เห็นไหมล่ะว่าเวลาทำงานติสท์มาก)



วันจันทร์ที่ 11 ธันวาคม เราไปรายงานตัวที่ Rathaus Wiesbaden Schierstein พอไปถึงก็มีเจ้าหน้าที่มาถามว่ามาทำอะไร ทางพี่โดมแจ้งไปเค้าก็พาเราไปที่โต๊ะ แล้วก็กรอกข้อมูลลงคอมพ์ให้ ส่วนทางเราก็ให้เอกสารทั้งหมดที่เตรียมไว้ด้านบนให้เจ้าหน้าที่ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีทุกอย่างก็เรียบร้อยค่ะ เราได้รับเอกสารมา 1 ใบที่ได้แสดงว่าเราได้มารายงานตัวเรียบร้อย


ตอนนี้ก็เสร็จไปแล้วอีกหนึ่งขั้นตอนของการเริ่มชีวิตที่เยอรมัน ส่วนเรื่องการทำนัดกับทาง Auslanderamt เพื่อต่อวีซ่า (ตอนนี้เราได้วีซ่า 3 เดือนมาต้องไปต่อเป็นวีซ่าระยะยาวอีกทีนึง) เราได้ส่งเมลทำนัดเข้าไปแล้วทางอัมส์ส่งเมลตอบกลับมาว่าเค้าจะส่งจดหมายมานัดอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ทางเราก็รอกันต่อไปค่ะ



ป.ล.อยากเขียนบลอกคริสมาสมาร์เกต แต่รูปถ่ายด้วยไอโฟนคือกากกกกกกกก มากกกกกก ไว้เราจะไปใหม่อีกครั้งนึงให้มันสว่าง ๆ กว่านี้แล้วจะมาเขียนให้ดูกันค่ะ


สำหรับบลอกนี้หวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้กับใครหลายๆ คนนะคะ





















10/2/17

แต่งงานกับคนเยอรมัน และจดทะเบียนสมรสในประเทศไทย


สำหรับการแต่งที่เยอรมันจะใช้การเตรียมเอกสารและต้องแนบผลสอบเหมือนกันค่ะ แต่จะแตกต่างกันหลังจากขั้นตอนรับรองเอกสารไม่ปลอมแปลงแล้วค่ะ ส่วนตัวแล้วคิดว่าแต่งที่ไทยง่ายและถูกกว่าที่เยอรมัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละคนด้วยค่ะ


ข้อมูลของแต่ละเขต แต่ละอำเภอจะมีเงื่อนไขไม่เหมือนกันนะคะ แนะนำว่าก่อนจะเริ่มเตรียมเอกสารให้ทางแฟนไปติดต่อที่ Standesamt ที่เขตบ้านเค้าเพื่อสอบถามเรื่องเอกสารก่อนนะคะทางเขตที่เยอรมันเค้าจะให้เอกสารลิสต์มาเลยว่าต้องใช้อะไรบ้าง


**สำหรับบล็อกนี้ที่เราเขียนคือเขตที่แฟนเราอยู่นะคะ แฟนเราอยู่ WIESBADEN**



เริ่มเตรียมเอกสารทั้งหมด 5 กรกฎาคม 2017


เอกสารมีดังนี้ค่ะ (กรณีที่โสดทั้งฝ่ายชายและหญิง)

  1. สำเนาพาสปอร์ต พร้อมพาสปอร์ตตัวจริง(อันนี้ไม่ต้องแปลค่ะ)
  2. ใบเกิดตัวจริง (ถ้าหากตัวจริงชำรุดเสียหายสามารถไปขอคัดสำเนาจากเขตที่เราแจ้งเกิดได้ค่ะ) เราแจ้งเกิดที่เขตปทุมวันก็กลับไปขอที่เขตปทุมวัน เจ้าหน้าที่จะถามว่าเอาไปทำอะไรก็แจ้งไปว่าไช้จดทะเบียนสมรสกับชาวต่างชาติ เสียค่าธรรมเนียมประมาณ 20 บาทค่ะ ทางเจ้าหน้าที่เค้าจะถามเราแหละว่าจะเอากี่แผ่นแนะนำว่าคัดมาสัก 3-5 ใบเลยค่ะ เผื่อต้องใช้อีกจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปขอใหม่ แต่เอาไปแปลก็แปลแค่ใบเดียวนะ
  3. ทะเบียนบ้านตัวจริง หรือ แบบรับรองรายการทะเบียนราษฎร์ (ทร.14/1) อันนี้เราขอที่บุรีรัมย์ค่ะเพราะมีชื่อในทะเบียนบ้านที่นี่ แนะนำให้ใช้ใบ ทร.14/1 (ซึ่งใช้แทนกันได้) เพราะเอกสารต้องแนบตัวจริงกับที่แปลส่งไปเยอรมันถ้าใช้ทะเบียนบ้านตัวจริงอาจจะไม่สะดวกค่ะเผื่อว่ามีเหตุจำเป็นต้องใช้ทะเบียนบ้านระหว่างนี้
  4. ใบรับรองโสด (มีอายุ 6เดือน)  อันนี้ขอได้จากเขตหรืออำเภอที่เรามีชื่อในทะเบียนบ้านค่ะ เราไปขอพร้อมกับใบ ทร.14/1 ที่บุรีรัมย์ 
  5.  ใบเปลี่ยนชื่อตัวจริง (อันนี้ของแม่เราค่ะ) 
  6. ใบรับรองสถานะภาพจากนางเลิ้ง (มีอายุ 6 เดือน) หลังจากรวบรวมเอกสาร 1-5 ครบแล้วก็เอาทั้งหมดไปขอใบนี้ที่นางเลิ้งค่ะ (อันนี้เอเจนซี่ไปขอให้เรา)
    **หากใครมีการเปลี่ยนชื่อหรือพ่อแม่ใครมีการเปลี่ยนชื่อที่ไม่ตรงกับทะเบียนบ้านก็ให้แนบใบเปลี่ยนชื่อตัวจริงไปแปลด้วยค่ะ*


วันที่ 6  กรกฎาคม  2017 เราส่งเอกสารที่เราเตรียมทั้งหมดให้เอนเจนซี่
ซึ่งอันนี้เอเจนซี่ได้ดำเนินการไปรับเอกสารที่นางเลิ้งให้เราด้วยค่ะ หลังจากได้เอกสารครบทั้งหมดแล้วทางเอเจนซี่ก็จะแปลเอกสารทุกอย่างค่ะแล้วส่งเข้าไปรับรองที่สถานทูต

วันที่ 11 กรกฎาคม 2017 เอกสารส่งเข้าสถานทูตเพื่อทำการรับรองเอกสารไม่ปลอมแปลง (Legalization)
หลังจากที่ทำการแปลเรียบร้อยแล้วเอกสารทั้งหมดของเราส่งเข้าสถานทูตเพื่อทำการรับรองเอกสาร ซึ่งขั้นตอนนี้จะใช้ระยะเวลา 6-8 สัปดาห์ค่ะ ทำอะไรไม่ได้ก็รอวนไป



เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาในการรอเราไปลงเรียน A1 ที่เกอเธ่คอร์สสุดสัปดาห์ไว้ด้วยค่ะ เป็นคอร์ส A1.1 เรียนทุกวันเสาร์ 8.30-12.00 เรียนทั้งหมดสิบครั้ง ซึ่งเราเริ่มเรียนวันแรกคือ  15 กรกฎาคม 2017 และวันจบคอร์สคือ 23 กันยายน 2017 ค่ะ




วันที่ 30 สิงหาคม 2017 เอกสารเราออกจากสถานทูต ใช้เวลารอไปทั้งสิ้น 7 สัปดาห์เต็ม ๆ แต่มันก็เป็นปกติของการรับรองเอกสารของสถานทูตค่ะ (ปกติเค้าจะใช้เวลาประมาณนี้แหละค่ะ 6-8 สัปดาห์) หากใครรอนานกว่า 8 สัปดาห์สามารถเมลไปถามสถานทูตได้เลย

หลังจากนั้นทางเอเจนซี่ก็ส่งเอกสารไปให้แฟนเราที่เยอรมันด้วยการส่งไปรษณีย์ไทยแบบลงทะเบียนธรรมดานั่นแหละค่ะ ใช้เวลาประมาณ 10 กว่าวันก็ถึงแล้วค่ะ เราไม่รีบเพราะยังมีเวลาประมาณ 1 เดือนก่อนที่แฟนเราจะมา

แต่!!! แนะนำว่าให้ส่งแบบ EMS หรือ DHL ไปเลยค่ะยอมจ่ายเงินแพงหน่อยแต่เราจะไม่มานั่งเสียวสันหลังว่าเอกสารจะถึงหรือยัง


วันที่ 20 กันยายน 2017 แฟนได้รับเอกสารจากไปรษณีย์


วันที่ 22 กันยายน 2017 แฟนนำเอกสารทั้งหมดไปยื่นที่ Standesamt เพื่อขอใบ Ehefähigkeitszeugnis


วันที่ 27 กันยายน 2017 เราสอบ A1 ที่ เกอเธ่ (เราสอบผ่านด้วยคะแนน 84 ค่ะ) หลังจากสอบแล้วประมาณ 3 วันก็ไปรับใบประกาศตัวจริงมาเตรียมไว้เพื่อจะได้ยื่นขอวีซ่าติดตามหลังจดทะเบียนสมรสค่ะ



วันที่ 28 กันยายน 2017  Standesamt นัดเข้าไปรับใบ Ehefähigkeitszeugnis หลังจากที่แฟนเราได้รับใบ Ehefähigkeitszeugnis แล้ว เค้าก็ส่งเมลพร้อมสแกน Ehefähigkeitszeugnis ให้สถานทูตเยอรมันที่กรุงเทพค่ะ เพื่อออกใบ Konsularbescheinigung ส่งไปที่เมล rk-13@bangk.auswaertiges-amt.de และสถานทูตจะเมลมาแจ้งกับเราว่าสามารถไปรับใบ Konsularbescheinigung  ได้วันไหน


วันที่ 9 ตุลาคม 2017 สถานทูตนัดเข้าไปรับใบ Konsular ได้ตอน 8.30 ค่ะ พร้อมเตรียมเงินไปด้วย 3500 บาท (ขึ้นอยู่กับค่าเงินในแต่ละวัน) เราไปถึงสถานทูตประมาณ 7.00 ก็นั่งหลับรอไปค่ะ แต่โชคดี ที่เค้าท์เตอร์เปิดก่อน 10 นาที ใช้เวลาดำเนินการประมาณ 10 นาทีก็เสร็จจ่ายเงินจริง ๆ ด้วยค่าเงินวันนั้นประมาณ
3470 บาท  เสร็จแล้วเรานั่งแท็กซี่ไปต่อที่เขตบางรักเพื่อจองคิวจดทะเบียนสมรส  เราจองไว้เป็นวันที่ 11 ตุลาคม เพราะตรงกับวันเกิดแฟนเราพอดีค่ะ



วันที่ 11 ตุลาคม 2017 ก็ไปจดทะเบียนสมรสที่เขตบางรัก ด้วยความที่เราไปจองคิวไว้ก่อนแล้ว กรอกเอกสารทุกอย่างเรียบร้อย วันจริงเราแค่เซ็นต์ชื่อต่อหน้าเจ้าหน้าที่เท่านั้นเอง (แนะนำว่าถ้าไม่ได้รีบมาก ไม่อยากลนลานเรื่องเอกสารวันจริงไปจองคิวไว้ค่ะ วันจริงมาเราจะได้นั่งสวย ๆ เซ็นต์ชื่ออย่างเดียว) วันไปจดจริงเลยได้เป็นคิวแรกเลย เขตเปิด 8.00 ก็เรียกคิวเลยค่ะ วันจดทะเบียนเราต้องมีพยานเป็นญาติ 1 คน และเพื่อน 1 คน เราพาแม่และเพื่อนที่ออฟฟิศไปค่ะ ส่วนล่ามถ้าเราคุยกับแฟนเรารู้เรื่องเราก็สามารถแปลด้วยตัวเองได้เลยค่ะ


ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็เรียบร้อย ได้เอกสารมา 3 ใบ คือใบ คร.2, คร.3 และอีกใบคือใบที่แสดงความจำนงค์ของเราว่าต้องการเปลี่ยนไปใช้คำนำหน้าว่า นาง และ ต้องการเปลี่ยนนามสกุลตามสามีค่ะ
***แนะนำว่าให้จดที่เขตบางรักนะคะทุกอย่างมันจะเร็วและจะง่าย เราสามารถนำเอกสารใบทะเบียนสมรสไปแปลและไปรับรองที่สถานทูตได้เลยไปต้องเสียเวลาไปกรมการกงศุลนะคะ***



วันที่ 16 ตุลาคม 2017  เรากลับไปเปลี่ยนนามสกุลที่อำเภอที่เรามีชื่ออยู่ค่ะ โดยเจ้าหน้าที่ต้องการหลักฐานคือใบคร.3 และใบคำร้องขอเปลี่ยนนามสกุลที่เราได้มาวันจดทะเบียนทำเรื่องประมาณครึ่งชั่วโมงก็เรียบร้อยค่ะ พร้อมถ่ายบัตรประชาชนใหม่ด้วยค่ะ



วันที่17 ตุลาคม 2017  ไปทำพาสปอร์ตเล่มใหม่ เราไปทำที่ MRT คลองเตยค่ะ ศูนย์เปิด 8.30-15.00 (ประมาณนี้ค่ะ)  เราไปถึงประมาณ 7.45 มีคนมายืนต่อคิวอยู่ก่อนหน้าเราประมาณ 20 คนได้ค่ะ แต่ศูนย์นี้เร็วมากไม่ถึง 9 โมงก็เสร็จเรียบร้อยค่ะ แนะนำว่าให้ติดใบแจ้งเปลี่ยนนามสกุลไปด้วยเพื่อเป็นหลักฐานนะคะเพราะเค้าขอดู ว่าเราได้ทำการจดทะเบียนสมรสและเปลี่ยนนามสกุลจริง ๆ (เรานี่พกไปทุกใบเลย) และพาสปอร์ตเล่มเก่าก็เอาไปด้วยค่ะเพราะเจ้าหน้าที่จะได้ทำการยกเลิกให้



19 ตุลาคม 2017  ช่วงสายๆ พี่ไปรษณีย์ก็เอาพาสปอร์ตมาส่งละคะ หลังจากนั้นเราทำการจองคิวในเว็บไซต์ของสถานทูตเพื่อยื่นวีซ่าติดตามสามีค่ะ แนะนำว่าให้จองคิววีซ่าหลังจากที่เราได้รับพาสปอร์ตเล่มใหม่นะคะเพราะเราต้องใส่เลขพาสปอร์ตลงไปตอนเราจองคิวด้วย
เราจองไปวันที่ 25 ตุลาคม 2017 เวลา 11.00-11.30  ที่จองช่วงสุดท้ายเพราะเราต้องเผื่อเวลารับรองเอกสารด้วยค่ะ



24 ตุลาคม 2017  ส่งเอกสาร คร.2, คร.3 ไปแปลค่ะ สำนักงานแปลเค้าแปลวันเดียวก็เสร็จค่ะ เราเข้าไปรับเอกสารเช้าวันที่ 25 วันเดียวกับที่เรายื่นวีซ่าติดตามสามีค่ะ




ขั้นตอนการยื่นวีซ่า
วีซ่าของเราจดทะเบียนสมรสในไทยจะเรียกการขอวีซ่าประเภทนี้ว่าวีซ่าติดตามสามีนะคะ
ส่วนคนที่จะจดทะเบียนสมรสในเยอรมันขอวีซ่าจะเรียกว่าวีซ่าแต่งงานค่ะ

25 ตุลาคม 2017 ช่วงเช้าประมาณ 8 โมงเราไปรับเอกสารแปลที่สำนักงานแปล (ฝั่งตรงข้ามสถานทูต) เสร็จแล้วก็ข้ามถนนไปสถานทูตถึงสถานทูตประมาณ 8.30 เราแจ้งว่ามายื่นวีซ่าติดตามสามร แต่จะขอรับรองเอกสารก่อน เค้าก็กดคิวให้เรา เราได้ประมาณคิวที่ 5 เริ่มเรียกคิวเราตอน 10 โมง เรารับเอกสารรับรองคืนตอน 10.40 ค่ารับรองเอกสารเราจ่ายไปประมาณ 1900 บาทค่ะ


เสร็จแล้วนำเอกสารทุกอย่างหลังจากรับรองแล้วและ A1 ไปถ่ายเอกสารค่ะถ่ายในสถานทูตนั่นแหละ เราถ่ายมา 3 ชุดเพื่อเอาไว้ยื่นวีซ่าติดตามสามี เพราะทางสถานทูตจะเก็บตัวก้อปปี้ไว้ค่ะ ส่วนเราก็ให้สามีถือตัวจริงกลับมาเยอรมันด้วย
เราจ้างให้เค้ากรอกและเรียงเอกสารให้ค่ะ เพราะยอมรับว่าวีซ่าระยะยาวนี่เรากรอกไม่รู้เรื่องจริงๆ จ่ายไป 360 บาทแลกกับความสบายใจค่ะ จะได้ไม่พลาดเนอะ



ป.ล. แนะนำว่าถ้าใครจะรับรองเอกสารวันเดียวกับวันยื่นวีซ่าเราแนะนำว่าให้จองคิววีซ่าช่วงสุดท้ายเลย (11.00-11.30) แต่รีบไปแต่เช้าเพื่อรับรองเอกสารค่ะ
การรับรองเอกสารจริงๆ เค้าทำไม่นานค่ะ แต่ที่ทำให้นานคือคิวค่อนข้างยาว เพราะนอกจากเราแล้ว ก็ยังมีบรรดาเอเจนซี่เอาเอกสารไปรับรองด้วย ถ้าเราได้คิวแรกก็โชคดีไป แต่ถ้าได้เป็นคิวถัด ๆ มาอาจจะรอเป็นชั่วโมงได้ เพราะฉะนั้นควรรีบไปให้ถึงแต่เช้า เราว่าการไปนั่งรอก็ยังดีกว่าเราไปสายค่ะ



พอเรียงเอกสารเสร็จทุกอย่างวิ่งไปกดคิวเลยค่ะ ถึงเวลาพอดี สัมภาษณ์วีซ่าระยะยาวเชิญช่อง 13 รอไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงคิวละคะ สัมภาษณ์ด้วยความมั่นใจไปเลยนะ ถ้าเราเตรียมเอกสารครบและมั่นใจว่าไม่มีข้อผิดพลาดอะไร ของเราสัมภาษณ์แป่บเดียวมากจริง ๆ ค่ะ เจอไปประมาณ 5 คำถามได้



พอแฟนเราไปถึงเยอรมันก็เอาเอกสารตัวจริง A1, คร.2 และ คร.3 ไปยื่นที่ Standesamt เพื่อทำเรื่องภาษีค่ะ ผ่านไปสองอาทิตย์ก็ได้ใบทะเบียนสมรสเยอรมันมาครอบครองแล้วค่ะ :))



 ผ่านไปประมาณ 3 อาทิตย์ ทางตม.ยังไม่ติดต่อกลับมาเพื่อขอเอกสารเพิ่มจากสามีเรา เราเลยให้สามีโทรไปถามที่ตม. ทางตม.แจ้งมาว่าทางเค้ายังไม่ได้เอกสารตัวจริงที่ส่งมาจากสถานทูตกรุงเทพ ถ้าเอกสารตัวจริงมาถึงแล้วเค้าจะติดต่อกลับมาหาสามีอีกทีค่ะ
จากนั้นก็รอ ๆ ๆ อย่างมีความหวังต่อไป .............



วันที่ 23 พฤศจิกายน 2017  ทางตม.ส่งเอกสารมาที่บ้านสามีที่เยอรมันเพื่อขอเอกสารเพิ่มเติมโดยการให้สามีเราเขียนจดหมายเป็นลายลักษณ์อักษรว่าต้องการให้เราได้วีซ่าและมาอยู่ที่เยอรมันด้วยกัน  โดยที่เค้าไม่ได้ระบุวันว่าให้เข้าไปวันไหนนะคะ เราเลยให้เขียนและเข้าไปยื่นเอกสารวันถัดมาเลย



วันที่ 27 พฤศจิกายน 2017  สถานทูตโทรมาแจ้งว่าวีซ่าของเราผ่านแล้ว ให้นำพาสปอร์ตเข้าไปรับวีซ่าได้ทุกวันจันทร์ - พฤหัสบดี เวลา 7.30-9.00 และถ้ามีใบจองตั๋วเครื่องบินและประกันการเดินทางก็ให้นำติดไปด้วยค่ะ (หลังจากได้รับสายจากสถานทูตเราก็กดซื้อตั๋วเครื่องบินและประกันหลังจากนั้นเลยค่ะ ตอนนี้ทำทุกอย่างผ่านอินเตอร์เน็ตได้สะดวกมาก จ่ายเงินเสร็จก็ก็ปริ้นท์ตั๋วออกมาได้เลย)



วันที่ 28 พฤศจิกายน 2017  เราไปรับวีซ่าไปถึง 7.30 พอดีได้คิวแรก ก็แจ้งเจ้าหน้าที่ว่ามารับวีซ่าติดตามสามีเยอรมัน ยื่นพาสปอร์ต ใบจองตั๋วเครื่องบิน ทางเจ้าหน้าที่กดดูเคสเราจากหมายเลยที่ติดเอาไว้ตอนวันมาขอวีซ่า เค้าจะถามว่าจะบินวันไหนเราก็บอกวันที่เราต้องการให้เค้าไปค่ะ เค้าจะให้วีซ่าเริ่มจากวันที่เราต้องการ เสร็จแล้วก็กลับมารับพาสปอร์ตคืนตอน 11 โมงค่ะ  เราก็กลับไปทำงานก่อนแล้วก็มาใหม่ตอนสิบโมงกว่า อันนี้ไม่ต้องกดคิวแล้วค่ะ รับเล่มได้เลยตรงพี่ผู้ชายที่มีโต๊ะอยู่ด้านหน้า เช็คชื่อ นามสกุล อะไรต่าง ๆ ในวีซ่าให้ดีก่อนออกจากสถานทูตนะคะ เค้าจะได้รีบแก้ไขให้เลยในตอนนั้น



- สรุปรวมระยะเวลารอวีซ่าทั้งหมด 32 วัน

- สรุปรวมระยะเวลาตั้งแต่เริ่มเตรียมเอกสารจนวันได้รับวีซ่า กรกฏาคม 2017 - พฤศจิกายน 2017 รวมแล้ว ประมาณ 5 เดือนค่ะ


เสร็จจบมหากาพย์อันยาวนานของการมีหลัวอย่างเป็นทางการ จากนี้ไปก็เข้าสู่ชีวิตจริงแล้วนะ






6/16/17

Ohkajhu : โอ้กะจู๋ สยามสแควร์




เดี๋ยวค่อยมาอีดิทนะ 

19105619_10155566042319994_5346403705041894872_n  





  19113755_10155566042334994_7653399075675722391_n  




  19225671_10155566042249994_6890071508918890578_n  




  19225092_10155566041999994_7664659770964051920_n  




  19105633_10155566042214994_7517435133366776225_n    




  S__10117141    




  S__10117142  




  S__10117143  




  19149244_10155566042229994_812565690376787316_n





6/14/17

Dating website : เว็บไซต์หาคู่

สวัสดีค่ะ
เว้นการอัพบล็อกไปนานมากเพราะว่าไม่รู้จะเหลาอะไร วันนี้เราเลยจะเขียนถึงเรื่องเว็บไซต์หาคู่ดีกว่า

เพราะเราคิดว่าเรามีประสบการณ์ด้านนี้อย่างโชกโชน ยาวหน่อยนะแต่อ่านเถอะ ฮ่าๆๆ

แรก ๆ ที่เริ่มเล่นแชททางอินเตอร์เน็ต ตอนนั้นอายุประมาณ 15 มั้งนะ เรียกว่าแรดแต่เด็กว่างั้นเหอะ

ตอนนั้นโปรแกรมฮิต ๆ สำหรับวัยรุ่นยุค 90 แบบเราคงหนีไม่พ้นโปรแกรมเพิร์ช เล่นไปก็นัดเจอไปด้วย

ตอนนั้นจำได้ว่านัดเจอไปประมาณ 3 คนนะ แต่เวลาไปนัดเจอใครก็จะพาเพื่อนไปด้วยตลอดนะ

อันนี้สำคัญมากอย่าไปคนเดียวเด็ดขาด อย่าได้เสี่ยงไปคนเดียวเชียว

เรายอมรับเลยว่าเมื่อก่อนการเล่นแชทแล้วนัดเจอมันปลอดภัยกว่าตอนนี้มาก

บางคนที่ได้เจอ keep contact กันจนถึงตอนนี้ก็มี




มีอยู่ช่วงนึงได้ไปทำงานที่ญี่ปุ่นเนอะ ก็เครซี่ผู้ญี่ปุ่นมากกกกก แต่จะไปหาผู้ญี่ปุ่นได้จากไหนละ ???

ก็เลยเสิร์ชเลย "หาแฟนญี่ปุ่น" ก็โผล่ขึ้นมาเว็บนึง ชื่อเว็บ Sawasdeekappom แต่นานมากแล้วนะ

เราไม่รู้ว่าตอนนี้เว็บนี้ยังมีอยู่หรือเปล่า ก็เล่นไปเรื่อย ๆ อ่ะ มันเป็นเว็บฟรีนะเมื่อก่อน นัดเจอไปหลายคนมาก

เอาจริง ๆ ประมาณสิบคนเลย เป็นคนที่ทำงานอยู่ไทยบ้าง เป็นคนมาเที่ยวที่ไทยบ้าง

ได้เป็นแฟนจริง ๆ คนเดียว แต่ก็คบกันแค่ประมาณปีเดียวเองมั้ง

แต่ตอนนั้นยังไม่โดนเบิกเนตรโดยผู้ชาติอื่นไง ก็คิดว่าตัวเองสายญี่ปุ่นมาตลอด ฮ่าๆๆๆ

แต่ตอนนั้นก็เล่นอยู่เว็บเดียวนะถ้าหาผู้ญี่ปุ่น เพราะมันเป็นเว็บฟรี

ที่สามารถส่งข้อความถึงกันได้ เอาจริง ๆ ถ้าให้เสียตังนี่ไม่มีทางจ่ายเงินหาผู้แน่นอนค่ะ

พอเริ่มโตขึ้นผ่านประสบการณ์การทำงานและผ่านประสบการณ์เรื่องผู้มากขึ้น

พบว่าสายยุ่นสำหรับเราไม่ใช่แนวว่ะเลยเริ่มผันตัวเองมาเป็นสาย ฝ.

ซึ่งสาย ฝ.นี่มันมีเว็บหลากหลายกว่าสายยุ่นมากนัก ฮ่าๆๆ และก็มีเงื่อนไขแตกต่างกันไป





ถามว่าทำไมต้องหาผู้ผ่านเน็ต ไม่มีปัญญาหาผู้ในชีวิตจริงเหรอ???

ถ้าเป้าหมายในชีวิตเราคือมีแฟนแต่งงานกับคนไทย ป่านนี้คงมีลูกเป็นโหลไปล่ะ

เป้าหมายเรามันชัดเจนไงแกเราไม่อยากมีแฟนคนไทย

ซึ่งตรงนี้มันก็เป็นเหตุผลส่วนตัวของแต่ละคนเนอะ

ถามว่าผู้ไทยไม่ดีตรงไหน ผู้ไทยไม่ใช่ไม่ดีค่ะ แต่เราเองที่ไม่ดีพอสำหรับผู้ไทย ฮ่าๆๆ

แล้วอยากมีแฟนต่างชาติต้องไปหาที่ไหนละ ?? ไม่ใช่คนเที่ยวกลางคืน ผับ บาร์ ข้าวสาร

ไม่ได้ทำงานที่คอนแทคกับชาวต่างชาติ ไม่มีเพื่อนแนะนำให้

ไม่มีโอกาสไปเรียนหรือทำงานต่างประเทศทางเดียวที่ทำได้คือเปิดเน็ตแล้วเสิร์ชค่ะ

ซึ่งทางเรามองว่าการหาแฟนทางอินเตอร์เน็ตไม่ใช่เรื่องผิดบาป ไม่ใช่เรื่องประหลาดไม่ว่ายุคไหน ๆ นะ

เรามองมันเป็นเรื่องธรรมดาตั้งแต่อายุ 15 ที่เริ่มเล่นเพิร์ชแล้ว เพียงแต่เราต้องระวังตัวหน่อยเท่านั้นเอง

เว็บที่เล่นแรก ๆ เลยคือ

Thailovelinks.com

Dateinasia.com

ซึ่งสองเว็บนี้เล่นได้ทั้งฟรีและแบบเสียเงิน ถ้าเราเป็นสมาชิกที่เล่นฟรีเวลามีคนส่งข้อความมาหาเรา

เราจะไม่สามารถอ่านข้อความได้ถ้าคนที่ส่งมาเป็นสมาชิกแบบฟรีเช่นกัน

แต่ถ้าสมาชิกที่เป็นวีไอพีแชทมาเราจะสามารถอ่านได้ค่ะ เราไม่ได้ผู้จากเว็บนี้

เพราะเท่าที่มีทักมาสแกมเมอร์บ้าง เป็นสมาชิกแบบธรรมดาบ้างซึ่งเราเองก็ธรรมดา

ทำให้อ่านข้อความไม่ได้ก็บัยส์จ๊ะ ฮ่าๆๆ  แต่จริง ๆ ก็จะมีเว็บที่เล่นอีกหลาย ๆ เว็บประปรายนะ

แต่ที่ยกตัวอย่างมาคือเล่นบ่อยสุดละ



หรือจะเป็นเว็บทั่ว ๆ ไปที่มีแอพลิเคชั่นในมือถืออย่าง Tinder หรือ Btalk อันนี้ก็ง่ายขึ้นมาหน่อยค่ะ

ไม่ต้องเข้าเว็บ เล่นในมือถือหาผู้ไปขณะรอรถเมล์ว่าง ๆ ได้ แต่สำหรับเราสองแอพนี้ไม่ค่อยโดนใจ

รู้สึกว่าจะมีแต่เด็กเล่นเยอะไปหน่อย แต่ถามว่ามีคนได้ผู้ดี ๆ จากสองแอพนี้เยอะไหม

ต้องบอกว่าเยอะค่ะแต่อย่างที่บอกสำหรับเราไม่เหมาะ โหลดมาแล้วก็ลบทิ้งไปละ



มาดูเว็บหรือแอพที่เราใช้บ่อย ๆ แบบฟรีกันบ้าง จะมี

Thaifriendly  อันนี้มีแอพในมือถือนะลองเสิร์ชกันดู อันนี้สามารถแชทได้ฟรีค่ะไม่เสียเงิน

เข้าไปอ่านโพรไฟล์หรือดูรูปก่อนได้ค่ะ เคยได้คนคุยมาจากเว็บนี้ด้วย

แต่พอคุยกันพักนึงแล้วพบว่าการเล่นเว็บเดทมีเป้าหมายที่ต่างกัน ก็เลยหยุดคุยดีกว่า

ถ้าจะเล่นเว็บพวกนี้ต้องระวังนิดนึงอะไรที่มันง่าย ๆ มันไม่ได้รับการตรวจสอบมันค่อนข้างจะอันตราย

Thaiflirting.com ส่วนตัวเราได้ผู้เยอรมันมาจากเว็บนี้ ไม่มีแอพบนมือถือนะคะ เข้าเว็บอย่างเดียว

แต่จะบอกว่าถ้าเทียบกับเว็บสองอันแรกที่บอกไปด้านบน เว็บนี้ผู้น้อยกว่ามากค่ะ

แต่มันดีตรงที่มันฟรี จะแชท จะส่งข้อความมันก็ง่าย



มาถึงช่วงเตือนใจเพื่อนสาว
  1. การเล่นเว็บเดทอย่างแรกเลยเราต้องได้ภาษาอังกฤษบ้างค่ะมาอยู่ ๆ เห็นรูปโพร์ไฟล์หล่อ ๆทักเค้าไปไม่รู้สี่รู้แปดภาษาอังกฤษมืดแปดด้าน ไม่มีใครเค้าอยากคุยด้วยนะ เท่าที่คุยกับผู้มาหลายคนเค้าบอกนะว่าเจอคนสวย ๆ หลายคนแต่ต้องจบการสนทนากันไปเพราะไม่สามารถสื่อสารกันได้
  2. เล่นเว็บเดทต้องเล่นอย่างมีสตินะคะ เราพูดได้เพราะเราเคยไม่มีสติมาก่อน ฮ่าๆๆ อย่าไปเชื่อผู้คนไหนที่บอกรักตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน มันไม่มีจริงนะ หรือแม้แต่คุยกันผ่านตัวอักษรมานานแล้วแต่ไม่เคยเห็นหน้าอันนี้ก็อย่าเพิ่งไปปักใจเชื่อค่ะ มันก็จะมีประเภทไม่ยอมเปิดกล้องคุยกับเรา จำไว้นะคะถ้าไม่ยอมเปิดกล้องอย่าหลงไปมีใจเด็ดขาด
  3. อันนี้เจอบ่อยมาก และก็มีคนหน้ามืดตามัวบ่อยมากด้วย คือการหลอกให้โอนเงิน มันไม่มีจริงโว้ยยย  คนที่ส่งของมาให้แกแล้วแกต้องเอาเงินโอนไปไถ่ออกมา ถ้าเจอมารูปแบบนี้ตั้งแต่แรกก็ควรเผ่นจ้า

สำหรับบล็อกนี้ก็ประมาณนี้เนอะ ใครมีข้อคิดเห็นหรืออะไรเพิ่มเติมก็บอกกันมาได้เลยค่ะ

เพราะอันนี้เราเขียนจากประสบการณ์ตัวเองล้วน ๆ เลย

แล้วเจอกันใหม่บล็อกหน้านะคะ

สวัสดีค่ะ

6/5/17

Start Deutsch A1 : ด่านที่ต้องผ่าน

เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เราไปสมัครเรียนภาษาเยอรมันที่เกอร์เธ่มาค่ะ

เปิดรับสมัคร วันที่ 3 มิถุนายนเป็นวันแรก (สำหรับคอร์สของเดือนกรกฎาคม)

ไปถึงพบว่าคิวค่อนข้างยาวค่ะ เรารอประมาณ 5-6 คิวได้ แต่คิวก็รันค่อนข้างเร็วเหมือนกัน

ประมาณ 20 นาทีก็ถึงคิวค่ะ เราเลือกเรียนคอร์สสุดสัปดาห์ เรียนทุกวันเสาร์ 8.30-12.00

(ตื่นเช้ากว่าไปทำงานอีกนะเนี่ย) 

สำหรับคอร์สสุดสัปดาห์นี้เราจ่ายไป 5200 บาท (ซึ่งถ้าเรียนหลักสูตรเร่งรัดก็จะแพงกว่านี้ค่ะ) 

มีค่าลงทะเบียน 400 บาท และค่าหนังสือ 1480 บาทซึ่งราคานี้เป็นราคาสำหรับนักเรียนเกอร์เธ่ 

เอาใบเสร็จที่ลงทะเบียนไปยื่นได้เลย แต่ว่าหนังสือเราจะซื้อวันหลังก็ได้ ตามแต่เราสะดวก

ร้านหนังสือในเกอร์เธ่จะเป็นร้านเล็ก ๆ อยู่ตรงแคนทีน รวมทุกอย่างเราจ่ายไปทั้งหมด 7080 บาท

ราคานี้จะเป็นราคาของคอร์สสุดสัปดาห์นะคะ ถ้าเป็นคอร์สอื่น ราคาก็จะต่างไปอีก

เข้าไปดูรายละเอียดได้ในเว็บของสถานทูตค่ะ  https://www.goethe.de/thailand

นอกจากนี้เรายังนำใบเสร็จไปสมัครสมาชิกห้องสมุดได้ฟรีด้วยค่ะ ระยะเวลาสมาชิกคือ 1 ค่ะ





  วางแผนไว้ว่าจะต้องสอบ A1 ให้ผ่าน (แค่เปิดหนังสือมาหน้าแรกก็งงแล้วค่ะไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหน)

 ซึ่งคนที่เรียนสัปดาห์ละวันเปอร์เซ็นต์การสอบผ่านมีน้อยมากเลยจากการที่อ่านรีวิว จะรอดไหมนะ !!!

 เพราะสิ่งที่เราต้องการจะได้หลังจากที่เราผ่าน A1 แล้วเท่านั้น

 หลังจากนี้ก็จะต้องพยายามมากขึ้น สินะ