3/31/14

ทริปเยี่ยมญาติ Japan 2014 : Dinner at Moro's place กินข้าวบ้านโมโร่คุง







หลังจากที่ฮาราคีรีตัวเองจนเกือบตายกับการแพ็คกระเป๋าจนเคล็ดขัดยอกไปทั้งร่างแล้วประมาณ 6 โมงนิด ๆ พวกเราก็ออกเดินทางไปที่บ้านของโมโร่คุง ตอนแรกวางแผนว่าจะปั่นจักรยานกันไปแต่อ่านพยากรณ์อากาศมาแล้วว่าคืนนี้ฝนจะตก และไม่แน่ใจกับการดื่มของตัวเองเท่าไหร่นัก ก็เลยตัดสินใจนั่งแท็กซี่ไปดีกว่าเพื่อความชัวร์ (เมาไม่ขับนะจ๊ะ)
วันนี้โมโร่ไปทำงานเลิกงานมาถึงบ้านประมาณ 6 โมงเย็นเรานัดโมโร่ไว้ทุ่มตรง เราไปถึงก่อนเวลานัดประมาณ 20 นาทีเจออีโมโร่กำลังยกถุงขยะไปทิ้ง !!! ก่อนมาอายาริเตือนแล้วว่าบ้านโมโร่อาจจะรกหน่อยนะ หึหึหึ มองเห็นถุงขยะใบใหญ่ นี่บ้านมึงรกขนาดนี้เลยเร๊อะ !!!
อายาริเห็นแล้วกรี๊ดเลย บอกว่าตอนพวกเรามากินเหล้าโมโร่ไม่เคยทำความสะอาดบ้านเลย นี่เป็นเพราะปูจังมานะเนี่ยโมโร่เลยยอมทำ ฮ่าๆๆๆ อายาริเอ้ยยยย....ให้มันรู้สะบ้างว่าไผเป็นไผ 






เด็กหญิงทสึกิโนะ กับ เด็กหญิงอายาริ





เรานั่งพักกันสักแป่บปรึกษากันว่าจะกินอะไรกันดี แล้วก็เดินออกไปซุปเปอร์มาเก็ต (คือทำไมไม่ปรึกษากันให้เรียบร้อยก่อนจะได้ซื้อเข้าไปทีเดียว มันหนาว ฮ่วยยย) เดินไปสักแป่บก็เจอวากะนะจังปั่นจักรยานมากกับทสึกิโนะ วากะนะจังคือ ?? เป็นคอสตูมในโปรเจคการแสดงของพวกเราเอง เราเจอกันครั้งแรกเมื่อปี 2009 พอจบโปรเจคนี้ปั๊บวากะนะจังก็ท้อง แฟนของวากะนะจังเป็นนักดนตรีค่ะ ซึ่งเราไม่เคยเห็นตัวจริงนะเห็นแต่ในรูป เท่ดี

อายาริถามว่าอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมเดี๋ยวซื้อมาทำให้แน่นอนพีมังผัดไข่ปลา (พีมังคือพริกหยวกที่ไม่มีกลิ่นของพริก แต่หวานและอร่อยมาก) ตั้งแต่มาญี่ปุ่นนี่เรารีเควสพีมังทุกมื้อเลยทั้งผัดกับไข่ปลาและกินเปล่า ๆ จนหน้าจะกลายเป็นพีมังอยู่แล้ว





เจ้าบ้านตอนนี้กับเจ้าบ้านเมื่อ 10 ปีที่แล้ว








ไข่ปลาผัดพีมัง มะเขือม่วงผัดมิโสะ บล็อคโคลี่ต้มจิ้มมายองเนส ส่วนกินจิซื้อมาจากซุปเปอร์






มื้อนี้เรามีแม่ครัวฝีมือดีสองคนคือฮารุกะโอบ้าจัง กับ วากะนะจัง มองการช้อปปิ้งของสองคนแล้ว ทำไมพี่ซื้อแต่ผักกันละฮ่ะ โปรตีนหล่ะ ?!?!?! คนญี่ปุ่นกินผักกันเก่งมากกกกก ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมเค้าไม่อ้วน ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมเค้าผิวพรรณดี ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมเค้าสุขภาพดีอายุยืน คือกินผักทีนี่กินกันเป็นกิโลฮ่ะ
มาแจกแจงเมนูวันนี้กันดีฟ่าาาาาว่ามีอะไรบ้าง เมนูแรกออเดิร์ฟ เป็นบล็อกโคลี่ต้มจิ้มมายองเนส มาให้รองท้องกันก่อน แค่นี้ก็อร่อยหล่ะ
ส่วนเมนูที่สอง แอส ยัวร์ รีเควส เลยฮ่ะ พีมังผัดไข่ปลา ฟินนนน อ่าหหหหหหห์ กินสิบชามก็ไม่พอ เรากับโมโร่เป็นพวกรอกิน และด้วยความหิวมาก ออร์เดิร์ฟมาเสิร์ฟ เราสองคนก็ตะโกน ขอกินก่อนได้ไหมค๊าาาาา แม่ครัวตะโกนกลับมาว่ากินได้เลย สวรรค์ชัด ๆ นะก๊ะ !!!





เมนูมาสเตอร์พีชวันนี้เราขอเสนอผักอบเนย (ด้านขวามือ) หอมมาก กรอบมาก ผักหวานมากกก ติดใจจจ




เมนูที่สามตามมาติด ๆ เป็นมะเขือม่วงผัดมิโสะ ปกติมะเขือม่วงมันไม่อร่อยเลยนะ แต่มะเขือม่วงญี่ปุ่นนี่มันแซ่บมาก ซัดโฮกกก เหมือนคนอดอยาก
เมนูที่สี่เป็น สารพัดผักอบเนย มีบล็อคโคลี่ เห็ดหอม ลูกกะหล่ำปลี เราไม่แน่ใจวิธีการทำสักเท่าไหร่นัก แต่เหมือนเอาเนยใส่ลงไปกับผักแล้วเอาเข้าเตาอบออกมากลิ่นหอมมาก ๆ อ่ะ ให้นั่งกินเป็นกะละมังก็ไม่ถอยนะ
เมนูที่ห้า (ยังไม่หมดอีกเหรอเนี่ย !!!) เป็นสลัดผัก ผักอีกแล้ว >"< เป็นผักโขมกับอาโวคาโด น้ำสลัดญี่ปุ่นอันนี้มาเป็นกะละมังเลยกินผักเสมือนตัวเองเป็นวัว ฮ่าๆๆ อาโวคาโดญี่ปุ่นถูกมาก ๆ นะ (ประมาณ 30 บาทเอง) ถ้าเทียบกับค่าเงิน ของไทยลูกล่ะ 50-60 บาทถือแพงค่ะ ทั้ง ๆ ที่ปลูกที่เชียงใหม่แท้ ๆ ไม่เข้าใจจจ T___T

ส่วนเมนูอื่น ๆ ก็ซื้อสำเร็จมาจากซุปเปอร์ มีคาราเกะ ปูอัด ปลาหมึกเล็ก ๆ ที่เราชอบกิน (เรียกว่าอะไรไม่รู้อ่ะ) แล้วทุกอย่างอร่อยมากกกกก ในขณะนั้นเวลา 3 ทุ่มเราซัดข้าวไป 3 ชาม บ้าไปแล้วเหอะ!!!!!!  อ่ออออ วากานะจังซื้อเค้กช็อกโกแลตมาให้กินล้างปากด้วยค่ะ ไม่อ้วนเอาเท่าไรรรรร




คาราเกะ อันนี้ซื้อมาจากซุปเปอร์









เด็กหญิงทสึกิโนะ กับ เด็กหญิงณัฐฐิพร





ดินเนอร์มื้อนี้มีเด็กให้เล่นด้วยหล่ะ เด็กชื่อเด็กหญิงทสึกิโนะ ทสึกิโนะจังเป็นหลานคนแรกของคณะเมโลดี้คัพ (ถ้าไม่นับลูกของผู้กำกับ) เมื่อปี 2011 เราเจอเด็กยังไม่ถึงขวบเลยคราวนี้มาเจอจะ 4 ขวบแล้วเวลาผ่านไปเร็วจัง เด็กน้อยโตขึ้นทุกวัน ๆ ในขณะที่เรายังไม่ไปถึงไหนเล้ยยยย
จริง ๆ มีเด็กอีกคนนะชื่อ ออนคุง แต่อยู่โตเกียวอยากเจอหลานคนนี้เหมือนกัน
ทสึกิโนะจังเป็นเด็กขี้อายและติดอายาริจังกับทัคจังมาก เพราะสามคนนี้เค้าเจอกันบ่อย ๆ แล้ววากานะจังก็ทำงานที่เดียวกับทัคจังด้วยก็เลยทำให้สนิทกันมากยิ่งขึ้น วันนี้เราเล่นกับเด็กด้วยอาการลอสทรานสเลชั่นมาก ๆ แต่อายาริก็ดีมากนางแปลให้เราตลอดเลยบางอย่างที่เราต้องการสื่อสารกับทสึกิโนะจังอายาริก็จะคอยบอกว่าประโยคนี้ต้องพูดว่าอะไร ก็สรุปว่าการเล่นกับเด็กก็ผ่านไปด้วยดีและสนุกสนาน


ข้อสังเกตของเราอีกอย่างนึงคือคนญี่ปุ่น(ที่เรารู้จัก) เลี้ยงลูกแบบไม่สปอย อะไรได้ก็คือได้ อะไรไม่ได้ก็คือไม่ได้ แค่เด็ก 3 ขวบก็เป็นเด็กมีเหตุผลแล้วรู้สึกเป็นเด็กที่มีสุขภาพจิตและจินตนาการที่ดีมาก ๆ 





ทสึกิโนะจังจะกลับบ้านแล้วววว






ฝนเริ่มตกลงมาตอนประมาณ 4 ทุ่ม วากานะจังต้องกลับแล้วเพราะพรุ่งนี้ต้องทำงานแล้วเด็กก็เริ่มง่วงด้วย จัดแจงใส่เสื้อกันหนาวให้เด็กเสร็จเรียบร้อยพวกเราลงมาส่งสองแม่ลูกตรงที่จอดจักรยาน แหมมมม ....ไม่อยากจากกันเลยจริง ๆ ไม่เป็นไรนะเดี๋ยวเราก็ได้เจอกันอีกไม่ว่าจะที่ไทยหรือญี่ปุ่นหรือที่ไหนซักที่ในโลกแหละเนอะ

พอวากานะจังกลับไปได้สักพัก ฮารุนะจังก็เลิกงานกลับมานั่งคุยกันตามประสาผู้หญิง (เพราะพวกผู้ชายหลับไปหมดแล้ว U.U) คุยกันจนอิ่มหนำสำราญพวกเราก็ได้เวลากลับเช่นกันฮารุนะโทรเรียกแท็กซี่ให้ ส่วนฮารุกะโอบ้าจังเดินกลับบ้านเพราะบ้านอยู่ไม่ไกลจากบ้านโมโร่ ประมาณตี 1 ฝนยังไม่หยุดตก มาถึงบ้านเราบอกอายาริว่าไม่อาบน้ำนะ ไว้อาบพรุ่งนี้ทีเดียว (ก็มันหนาวแล้วก็เหนื่อยง่ะ) ฮ่าาาาาา ตกลงตามนั้นนะ





อันนี้แคปมาจากไอจีของวากะนะจัง (แม่ของทสึกิโนะจัง)






พรุ่งนี้มีนัดไปเก็บสตรอเบอร์รี่ ตื่นเต้นนนนนนน มันจะอร่อยแค่ไหนกันนะสตรอเบอร์รี่สด ๆ เนี่ย รีบนอน ๆ ได้ข่าวว่าต้องออกจากบ้าน 9 โมงอีกแย้ววววววว ....





To be continue .....







3/29/14

ทริปเยี่ยมญาติ Japan 2014 : Dating with Ayari and Haruka อายาริ กับ ฮารุกะ





หลังจากที่เราเจอกับอายาริ และ ฮารุกะเรียบร้อยแล้ว ฮารุกะคือ ?? นักแสดงในโปรเจคของพวกเราคนนึงที่มีบุคลิกป้าๆ นางไม่ได้แก่ นางเป็นวัยรุ่น นางเซ็กซี่ แต่นางขี้บ่นและพูดตลอดเวลา พวกเราเลยเรียกนางว่า "โอบ้าจัง" นางก็จะปฏิเสธตลอดว่า โน โน โน แอม นอท โอบ้าจัง เน้ !!! แต่แววตานางก็จะรู้สึกยินดีที่เพื่อน ๆ เรียกว่าโอบ้าจัง ดังนั้นพวกเราเลยตัดสินใจกันไปโดยพละการว่านางชอบชื่อโอบ้าจัง และทุกคนก็เรียกนางว่าโอบ้าจัง



สมาคมชาวเป็ด




อายาริกับโอบ้าจังพาเราไป Teramachi เป็นแหล่งช้อปปิ้งที่ค่อนข้างใหญ่ในเกียวโตสิ่งที่ซื้อหลักๆ คือเหล้าบ๊วยจะบอกว่าาาาาแบกกันหลังหักเลยล่ะจ๊ะ  ซื้อครบทุกอย่างแล้วพวกหล่อนๆ พาเราไปเกมส์เซ็นเตอร์ .......จะบอกว่าทำไมพวกมึงไม่พากูมาเล่นเกมก่อนพาไปช้อปปิ้งว่ะ ?!?! แบบ ของพะรุงพะรังมากแล้วเล่นเกมส์กันไม่หยุดหย่อนเนี่ยมันลำบากนะเฟร้ยยยย !! ในถุงนี่เหล้าบ๊วย 5 ขวดใหญ่ๆ เลยนะ !! 

ไปติดกับดักตู้คีบตุ๊กตา มันเหมือนโดนมนต์สะกด ยาเสพติดอะไรซักอย่างนึงที่ไม่สามารถหยุดเล่นได้หมดไปกันคนละหลายพันเยน ได้ตุ๊กตาแมวตัวเท่านิ้วก้อยมาตัวนึง คุ้มไหมล่ะ ?!? ถ้าไปหยอดกาชาปองก็ไม่ขาดทุนแล้วนะ เสียเงินเท่ากันแต่ก็จะได้ตุ๊กตามาเป็นกอบเป็นกำแล้วนะ ฮรืออออ (´・_・`)





ครอบครัวแมวน้ำ เอ๊ะ! มันคือแมวน้ำใช่ม่ะ??







พวงกุญแจแมวน้ำในคอสตูมแบบต่าง ๆ 





พอได้ตุ๊กตาง่อย ๆ สมใจหมายหลังจากเสียเงินไปกันคนละก้อนใหญ่แล้ว เธอทั้งสองก็พาเราไปถ่ายพูริคุระ เฮ้ยยย!! ตู้นี้มันจะไฮเทคเกินไปแล้วนะ ตาโต ขายาว หน้าเรียว (แอพลิเคชั่น 360 แพ้อย่างราบคาบนะ) แล้วมันเป็นตู้สนุกมาก เราสามารถสร้างโน่น นี่ให้รูปได้อย่างเยอะแยะมากมาย แล้วก็ไม่แพงด้วย เราจำราคาไม่ได้แล้ว แต่ก็ไม่เกิน 1000 เยนหล่ะ คุ้มสุด ๆ


เดินทั้งวันมันก็หิวนะ เราวางแผนกันว่าจะไปกินพาร์เฟ่ต์กัน เราเป็นคนรีเควสเองแหละ เราเคยเห็นเพื่อน ๆ อัพรูปไปกินพาร์เฟ่ต์ยักษ์กันที่ร้านนี้เราเลยอยากไปบ้าง ร้านนี้อยู่แถว ๆ Kawaramachi ชื่อร้านว่า Karafuneya เป็นร้านพาร์เฟ่ต์ที่มีให้เลือก 200 กว่าอย่าง ด้วยบรรยากาศของร้านแล้วเราว่าค่อนข้างเป็นที่นิยมค่ะ ถ้าจะไปกินร้านนี้เราแนะนำให้เผื่อเวลาซักชั่วโมงนะคะ ไม่ใช่ว่าคิวเต็มหรืออะไรหรอก แหมมมม !! แค่นั่งดูเมนูว่ามีอะไรบ้างกว่าจะเลือกได้ก็ปาไปเกือบชั่วโมงแล้วอ่ะ (ไม่ได้เว่อร์นะจริงๆ) คือถามเพื่อนว่าอะไรอร่อยนางก็ตอบกลับมาว่าไม่รู้สิ ฉันก็ยังกินไม่ครบทุกอัน อืมมมก็จริงของนางนะ นางไม่ได้กวนตีนนะ >"<!





ตู้คีบตุ๊กตาที่เราไม่เคยชนะเลยยยย T_T








วันนี้เป็นโอตาคุ




อายาริพาขึ้นมาที่ชั้นสองเพราะสามารถสูบบุหรี่ได้ ถามว่ามองเห็นวิวอะไรไหม ? บอกเลยไม่เห็นเพราะพื่นที่ตรงนี้มีแต่ตึก แต่มองไปที่ตึกฝั่งตรงข้ามก็เก๋ดีเหมือนกันนะ แต่ถ้ามากับแฟนล่ะก็ถึงโดนตึกบังมิดความโรแมนติกก็ยังมีอยู่นะฮ่ะ :)

เราชอบคาเฟ่ญี่ปุ่นอยู่อย่างนึงคือ จะมีตะกร้าไว้ใส่ของของแต่ละโต๊ะ (คาเฟ่ในไทยบางทีอาจมีแล้วก็ได้นะ) ลูกค้าไม่ต้องวางของกับพื้นหรือเก้าอี้ใส่ตะกร้าไว้ข้าง ๆ ตัวได้เลยเป็นการใส่ใจกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้ามาก ๆ เพราะคนญี่ปุ่นเป็นพวกชอบหอบหิ้วแบบพะรุงพะรัง (อันนี้วัดจากสายตาและประสบการณ์จริง) อย่างเพื่อนเราเองหิ้วกระเป๋าคนละ 3 ใบ บ้าไปแล้วเหอะ !


เรานั่งมองเมนูกันสักพักมันจนปัญญาจริง ๆ นะ มันมีให้เลือกเยอะเกินไปอันนั้นก็น่ากิน อันนี้ก็น่าลอง จะให้สั่งมาเยอะ ๆ ก็ลำบากกระเป๋าตังอีกหล่ะ โอเคตัดสินใจกันได้แล้ว ของเรากับโอบ้าจังสั่งเป็นคาราเมล (แต่คนละแบบกัน) อายาริสั่งเป็นช็อคโกแลต ถ้าสั่งเป็นพาร์เฟ่ต์อย่างเดียวราคาประมาณ 800 เยน แต่เราสั่งกันเป็นเซ็ทตกประมาณ 1000 เยนนิด ๆ เราเลือกเป็นเซ็ทพาร์เฟ่ต์กับชาพีช ส่วนอายาริกับโอบ้าจังสั่งคู่กับกาแฟ บ่ายแบบนี้เรากาแฟไม่ได้จริง ๆ ว่ะ มันจะนอนไม่หลับ ถึงแม้จะรู้ว่ากาแฟญี่ปุ่นมันอ่อนมากถึงมากที่สุดก็ตาม คนญี่ปุ่นนี่กินกาแฟได้ 24 ชั่วโมงจริง ๆ







เพื่อนพาถ่ายพุริคุระ น่ารักเกินไปแย้วน้าาาา >///<







วิวจากชั้นสองร้าน Karafuneya 





จะบอกว่าถ้ามากันเป็นหมู่คณะอยากลองอะไรที่มันท้าทายที่นี่มีพาร์เฟ่ต์ยักษ์ (สำหรับประมาณ 10 คน) ราคาประมาณ หมื่นกว่าเยนถ้าหารกันก็ตกประมาณคนละพันกว่าเยนไม่ต่างกับสั่งถ้วยเล็ก ๆ ของใครของมัน แต่ !!! ปริมาณมันจะเยอะมาก มาก มาก มาก ๆ ๆๆๆ เกินไปสำหรับมนุษย์ 10 คนจะกินไหว อายาริบอกว่ากินกันไม่ไหวหรอกแต่ก็ต้องพยายามกิน เพราะเสียดายเงิน  อ่อออ ถ้าอยากกินพาร์เฟต์ยักษ์ต้องสั่งล่วงหน้านะก๊ะ


พูดอย่างไม่อายเลยว่านี่คือพาร์เฟ่ต์ครั้งแรกในชีวิต (ในไทยมีร้านเดียวมั้งนะคือร้าน Sfree) ไม่รู้ว่าพาร์เฟต์คืออะไร เห็นรูปว่าเพื่อนกินก็เลยอยากกินบ้าง อ่ออออ พาร์เฟ่ต์ในความเข้าใจของเราก็คล้าย ๆ ไอติมแต่มีไอติมนิด ๆ หน่อย ๆ อาจจะแค่สกู้ปเดียวแต่ที่เหลือคือ ครีม !!!! คือสิ่งที่มึงบริโภคกันอยู่นั่นคือครีมล้วน ๆ อ้วนล้วน ๆ ไม่มีใครอ้วนแทนแกได้นะนั่น !!! แต่ก็เอาเถอะปลอบใจตัวเองด้วยคำว่ากินปีละครั้งนะไม่อ้วนหรอกเธอออออ !!! แต่ครีมอร่อยมากกกกกกก ชนะเลิศ ฟินนนนน


กินกันไปเรื่อย ๆ ด้วยความอร่อย ๆ หวาน ๆ มัน ๆ แต่มันเลี่ยนมากกินไม่หมด เหลืออีกตั้งครึ่งนะ เอาเหอะยอมยกธง !




มีพาร์เฟ่ต์ให้เลือกกว่า 200 แบบ มากับแฟนก็โรแมนติกนะฮ้าาาา







ของฉันและของเธอ เธอ





กินเสร็จก็นั่งพักเม้าท์มอยรอย่อยกันสักพัก จากนี้เราวางแผนกันว่าเดี๋ยวเราจะกลับบ้านก่อนเพื่อนเอาของทุกอย่างไปแพ็คลงกระเป๋าให้เรียบร้อย เพราะมะรืนเราต้องกลับไฟล์ทเช้า แล้วคืนนี้กับพรุ่งนี้มีอะไรต้องทำอีกเยอะแยะมากมาย ถ้าไม่แพ็คเย็นนี้ก็จะไม่ได้แพ็คแล้วนะจ๊ะ


เราเอากระเป๋าเดินทางใบเล็กไป เพราะไม่ได้ขนเสื้อผ้าอะไรไปเยอะใช้วิธียืมเพื่อน ฮ่าๆๆ ซื้อมามันก็ไม่ได้ใช้อ่ะ จะเสียเงินซื้อหลาย ๆ ร้อยไปทำไมชิมิล่าาาาาา เพื่อนมันก็บอกปูจังไม่ต้องขนเสื้อผ้ามาเยอะนะ มาใช้ของฉันก็ได้เสียดายเงินนะ กลับไทยไปก็ไม่ได้ใช้หรอกพวกเสื้อกันหนาว ตอนขามา 13 กิโล ขากลับแอบเสียวว่าจะกี่กิโลฟร่ะ มีแต่ขวด ๆ ทั้งนั้น ปรากฏว่ากระเป๋างอกขึ้นมาอีก 1 ใบ และมีถุงกระดาษใหญ่ ๆ งอกมาอีก 1 ถุง ภาวนาไม่ให้กระเป๋าหนักเกิน 20 กิโล ภาวนาให้ให้สามารถเพิ่มกระเป๋าเป้โหลดใต้เครื่องได้อีกใบจะได้ถือแค่ถุงกระดาษขึ้นเครื่อง





มาเป็นเซ็ต ชาพีชหอมมากกกกก







นางเลิฟช๊อคโกแลต





เป็นความโชคดีของเราที่ฮารุกะโอบ้าจังทำไบท์ (งานพาร์ทไทม์) ที่บริษัทขนย้าย และนางต้องทำหน้าที่แพ็คของลงกล่อง ณ จุดนี้โอบ้าจังช่วยเราได้มากค่ะ นางรู้ว่าอะไรควรใส่ก่อนอะไรควรใส่ทีหลังอะไรควรไว้บนไว้ล่าง เราได้แต่ส่งกำลังใจและนั่งมองตาปริบ ๆ ผ่อนแรงการแพ็คของเราไปได้เยอะเลยขอบคุณนะคะโอบ้าจังงงง


เราใช้เวลาแพ็คของประมาณชั่วโมงนึง T__T ซึ่งถ้าเราทำเองคงนานกว่านั้นนะ เสร็จแล้วก็เตรียมตัวออกจากบ้านกันเถอะ วันนี้เราจะไปดินเนอร์กันที่บ้านโมโร่คุงค่ะ โมโร่คุงคือ?? เพื่อนนักแสดงอีกคนในโปรเจคของพวกเรานั้นเองงงงง โมโร่อายุเท่า ๆ พวกเรานี่แหละ (ในโปรเจคเกือบทุกคนอายุเท่ากันหมด) ใครเห็นหน้าโมโร่คุงแล้วก็จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไอ้นี่มันเป็นโอตาคุแน่ ๆ ซึ่งมันก็เป็นโอตาคุจริง ๆ ดูการ์ตูนทุกเรื่องบนโลกนี้ อ่านการ์ตูนทุกเรื่องบนโลกนี้ ร้องเพลงการ์ตูนได้ทุกเรื่องบนโลกนี้ O.O

โมโร่อยู่อพาร์ตเม้นกับแฟน แฟนของโมโร่ชื่อฮารุนะ ฮารุนะนี่ก็เป็นโอตาคุตัวแม่แต่เป็นโอตาคุดิสนีย์ นี่เธอสองคนเหมาะสมกันมาก อย่าได้มีสิ่งใดมาพรากจากกันเชียว




ส่วนนางกับนางก็เลิฟคาราเมล




วันนี้พยากรณ์อากาศบอกว่าคืนนี้ฝนจะตก และจะตกจนถึงพรุ่งนี้ ได้แต่ภาวนาว่าอย่าเพิ่งตกนะคะ ขอให้ไปถึงบ้านโมโร่คุงก่อน เพี้ยงงงงง !!!!!




To be continue.......










3/25/14

ทริปเยี่ยมญาติ Japan 2014 : เจอเพื่อนที่ Expo's park ในวันที่ดอกบ๊วยบาน




เราตื่นมาตอน 7 โมงเช้าอาบน้ำแต่งตัวเสร็ตก็ประมาณ 8 โมงนิดๆ รีบมากินอาหารเช้าดีกว่า วันนี้ม่าม้าทำเบรคฟัสต์ตามคำเรียกร้องของเราคือข้าวราดไข่ดิบ ;^_^A สงสัยตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่อยากกินอะไรที่มันหวาดเสียวเรื่องรสชาติให้น้อยลงกว่านี้ฟร่ะ ! นี่เสี่ยงต่อการวิ่งไปคายทิ้งมากอ่ะ

อายาริสอนวิธีทำคือตอกไข่ใส่ชาม หยดโชยุลงไปตามใจชอบอย่า (ใส่เยอะเดี๋ยวเค็ม ) ตีไข่ให้แตก คนๆ ให้เข้ากันแล้วราดลงบนข้าวจากนั้นก็โซ้ยเลยยยย และผลปรากฏออกมาว่า

แม่จ้าวววว !!! มันอร่อยมาก !!! คือรสชาติมันมันๆ ไม่มีกลิ่นความคาวเลย เหมาะกับการเป็นอาหารเช้าของซารารี่มังที่ดำเนินชีวิตด้วยความเร่งรีบมั่กๆๆ 
ม่าม้าเพิ่มโภชนาการทางอาหารให้ด้วยมิโสะซุป ผักและสาหร่าย ถ้วยเดียวมันไม่พอนะขอรับบบบ ....




วันนี้มีนัดกับเพื่อน





อาหารเช้าแบบเจแปนนีสสไตล์




อายาริต้องมาทำงานที่โอซาก้าส่วนเรามีนัดกับ "เพื่อน" ที่โอซาก้าเช่นกันแต่เราต้องเปลี่ยนสายรถไฟก่อนอายาริ เราออกจากบ้านตอน 9 โมงเช้าพร้อมกัน อายาริเขียนแผนที่และเวลารถไฟให้พร้อมกำชับว่ามาให้ทัน Hankyu เวลานี้นะ เดินมาที่โบกี้ที่ 2 ฉันจะรออยู่ตรงนั้น
ป.ล.คิดว่าเราจะรอดไหม ??!!?!

วันนี้มีนัดกับ "เพื่อน" เพื่อนไหน? ไทย ? ญี่ปุ่น ? แฟนหรือเปล่า ?? ตอบเลยว่าเพื่อนในที่นี้คือ (ใครเค้าอยากรู้! ) การ์ตูนเรื่อง 20th Century boys เป็นการ์ตูนที่เราชอบมากอีกเรื่องนึงเลยอ่านทั้งมังงะแล้วก็ดูหนังด้วย ( แนะนำว่าควรอ่านและดูมิฉะนั้นท่านอาจงงได้) 




ถ่ายที่ห้องน้ำสถานี Bampaku kouen





แอบถ่ายเพื่อนจากสถานี





การ์ตูนเรื่องนี้เกี่ยวกับแก้งค์เด็กผู้ชายแก้งค์นึงที่มาเล่นด้วยกันทุกวัน พร้อมกับวาดรูปตามจินตนาการเกี่ยวกับการทำลายล้าง โรคระบาด และอาชญากรรม โดยไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งที่พวกเค้าได้วาดไว้ตั้งแต่เด็กๆ ผ่านไปหลายสิบปีสิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้นจริง โดยฝีมือของเด็กชายคนนึงในกลุ่มที่ใส่หน้ากากปกปิดตัวเองมาตลอด เมื่อวางแผนจะยึดครองโลกก็ตั้งตัวเองเป็นลัทธินึงและเรียกตัวเองว่า "เพื่อน" โดยที่ทุกคนในกลุ่มไม่มีใครรู้เลยว่าใครคือ "เพื่อน" และช่วยกันออกตามหาความจริง และกระชากหน้ากากของ "เพื่อน" ให้ได้





จ่ายเงินเพื่อให้เข้าใกล้เพื่อน





ที่ที่เรามาวันนี้คือ Expo's park จะคล้ายๆ กับเมืองทองธานีบ้านเราอ่ะนะ จะมีการแสดงงานสินค้าอะไรพวกนี้อยู่ ในนี้จะมีส่วนของฮอลเอาไว้จัดแสดงงาน มีสวนสาธารณะ (ใหญ่มากกกก) สนามเด็กเล่น เรียกว่ามาพักผ่อนได้ทั้งครอบครัวค่ะ

แล้วการ์ตูนกับสวนสาธารณะเกี่ยวข้องกันยังไง ? คือการ์ตูนเรื่องนี้ใช้สวนสาธารณะ และ Taiyou no Tou เป็นฉากหลายๆ ฉากในการ์ตูน ทำให้คนบ้าการ์ตูนเรื่องนี้อย่างเราต้องมาเห็นให้ได้ด้วยตาของตัวเอง




เผชิญหน้ากับเพื่อน





รูปนี้ถ่ายโดยโอบ้าจัง





เราจับ Hankyu จาก Kawaramachi ไปลงที่สถานี Ibarakishi แล้วไปต่อสาย Osaka Monorail ไปลงที่สถานี Bampakukinen kouen ได้เลย ส่วนอายาริมาด้วยกันแต่นางยาวไปลง Umeda เลย เดี่ยวตอนกลับมาเจอกันที่สถานีนี้ นัดเวลากันเรียบร้อย


ถึงสถานี Bampaku kinen kouen เราต้องเดินไปอีกประมาณ 10 นาทีก็จะถึงสวนสาธารณะเดินออกมาจากสถานีจะเจอ Taiyou no Tou เด่นเป็นสง่าอยู่รับรองว่ายังไงก็ไม่มีหลงค่ะ วันที่เราไปอากาศค่อนข้างดีแดดแรง แต่ก็ยังหนาวมาก รวมถึงดอกบ๊วยในสวนก็บานแล้วและก็สวยมากด้วยค่ะ แก้งค์ป้าลุงชมรมถ่ายรูปเต็มสวนเลย กล้องแพงๆ ทั้งนั้น แถมวันที่ไปนี่เด็กอนุบาลมาทัศนศึกษาเต็มเลย น่ารักมากๆ แหมมมม เห็นแล้วอยากมีลูก




เพื่อนโดนฝูงนกรุม





ซื้อตั๋วที่ช่องขายตั๋วอัตโนมัติราคา 250 เยน วิธีการก็เหมือนการซื้อตั๋วรถไฟค่ะ ตรงทางเข้าก็ให้สอดตั๋วเข้าไปเหมือนรถไฟเด่ะๆ เลย (ถ้าไม่ได้จริง ๆ งงจริง ๆ ก็มีคุณพี่พนักงานยืนให้บริการอยู่ค่ะ)

เล่าเรื่องตลกให้ฟัง เราเข้ามาด้านในแล้วเป็นช่วงที่เดินเข้ามาคนเดียว แล้วเราอยากถ่ายรูปกับ Taiyou no Tou แต่ไม่มีใครเลยรอบตัว ยืนอยู่สักพักก็มีป้าอายุประมาณ 70 สะพายกล้องตัวใหญ่ และแลดูแพงเดินเข้ามา ด้วยความที่เห็นคุณป้าสะพายกล้องตัวใหญ่ก็คิดว่าคุณป้าน่าจะใช้กล้องไอโฟนเป็นสิ !

เราก็เดินก็ไปบอกป้าเป็นภาษาญี่ปุ่นง่อย ๆ ว่าถ่ายรูปเราคู่กับ Taiyou no Tou ให้หน่อยได้ไหมคะ คุณป้าพยักหน้าพร้อมยืนงงกับไอโฟนสักพักก็หันมาถามเราว่า กดตรงไหนจ๊ะ ? เราเดินไปบอกคุณป้าว่ากดตรงนี้นะ ป้าก็บอกโอเคๆๆ แล้วยืนงงอีกสักพัก หน้าจอไอโฟนก็ดับลง T_T คุณป้าก็เดินมาถามว่าทำไมมันถึงดับหล่ะ อ่าาาาาห์ ก็แก้ปัญหากันไป คุณป้าก็ยังไม่ลดละความพยายามนะคะ ก็ยังยืนยันว่าจะถ่ายให้เราต่อไป ซึ่งไอโฟนของเราจะตั้งสั่นไว้เวลากดชัตเตอร์มันจะไม่มีเสียง แชะ ! ซึ่งคุณป้าก็กดถ่ายให้เราแล้วหล่ะ แต่พอมันไม่มีเสียงแชะ คุณป้าก็งงว่า เอะ ! นี่มันถ่ายไปแล้วหรือยัง ?!? เราก็เดินไปเช็ครูปก็เห็นว่าถ่ายแล้วก็ขอบคุณคุณป้าก็ชวนคุณป้าคุยค่ะ ทดสอบภาษาญี่ปุ่นง่อย ๆ ของตัวเองหน่อย ฮ่าาาาา คุยกับคุณป้ารู้เรื่องด้วย



เรา : มาคนเดียวเหรอค่ะ ?
ป้า : มากันหลายคนนะ มากับชมรมถ่ายรูปหล่ะ อยู่ทางโน้นกัน แล้วหนูมาคนเดียวเหรอ ?
เรา : ใช่ค่ะ ขอบคุณมากที่ถ่ายรูปให้นะคะ
ป้า : มาจากประเทศอะไรหล่ะ ?
เรา : ประเทศไทยค่ะ
ป้า : อ้อออ เที่ยวให้สนุกนะ เดี๋ยวไปหาเพื่อนก่อน


ก่อนเดินต่อมานั่งเช็ครูปอีกที ปรากฏว่าด้วยความที่คุณป้า (อาจจะ) ไม่ได้ยินเสียงชัตเตอร์ และกดปุ่มถ่ายค้างไว้ ทำให้มีรูปเราคู่กับ Taiyou no Tou ประมาณร้อยกว่ารูปปปปปปในท่าเดียว นั่งลบจนทรุดดดด .....




เพื่อนโดนบัง





เราเดินดูดอกบ๊วยรอบสวน จนหนำใจแล้วก็ได้เวลากลับแล้วค่ะ วันนี้เป้าหมายของเรามีแค่นี้จริง ๆ ทริปนี้เหมือนเป็นทริปโอตาคุ เพราะไปดูแต่หุ่นยนต์กับการ์ตูนเท่านั้นเองง่ะ >"<
จับรถไฟสาย Osaka monorail มาลงที่สถานี Ibarakishi เพื่อที่จะจับ Hankyu รอบเที่ยงอายาริกับฮารุกะ จะนั่งรอบนี้มาจาก Umeda เลยแล้วเดี๋ยวเจอกันในรถไฟตู้ที่สองนะ ฉันจะรออยู่ตรงนั้น แล้วเราเป็นพวกไม่เคยขึ้นรถไฟด้วยตัวเองก็สับสนนิดนึงแบบว่าเอาไงดีว่ะ ฮ่าาาา รถไฟมาตรงเวลาเราพยายามเดินไปตู้ที่สอง แต่ในขณะเดินก็รู้สึกว่ามีหลาย ๆ สายตากำลังจ้องอยู่แล้วเค้าคงคิดในใจว่าอีนี่จะเดินทำไม ? เค้าอาจจะไม่คิดก็ได้แต่เรารู้สึก ฮ่าๆๆ ก็เลยหยุดเดินแล้วนั่งอยู่ประมาณโบกี้ที่ 5 (อีก 3 โบกี้เอ๊งงงงง!!)

ก็ไม่รู้จะทำยังไง โทรศัพท์ก็ใช้ไม่ได้ เน็ตก็ใช้ไม่ได้ เอาไงดีว่ะ ตามบุญตามกรรมนะมึงเอ้ยยยย แต่สวรรค์มาโปรดค่ะ เราพบว่าที่สถานี Ibarakishi แห่งนี้มี Free Wifi สำหรับนักท่องเที่ยว เลยรีบล๊อคอินเข้าไปก่อนที่รถไฟจะเคลื่อนตัวจากสถานีแล้วจะใช้ Wifi ไม่ได้ พิมพ์ข้อความด้วยความเร็วปานจรวดไปที่อายาริบอกว่า ตอนนี้ฉันอยู่ในรถไฟแล้วถ้าถึงสถานี Kawaramachi แล้วเราหากันไม่เจอเราไปเจอกันที่บ้านเลยนะ กด Send ปุ๊บ รถไฟออกปั๊บ โอ้ยยยย ระทึกกกกกกก





ข้างหลังเพื่อน เห็นแล้วนึกถึงสตาร์บัคส์ >"<!





เรานั่งมาถึงสถานี Kawaramachi แล้วเราปวดฉี่มากกกกกก เราวิ่งหาห้องน้ำก่อนเลย พอเสร็จธุระออกมาปรากฏว่าเราจำทางออกจากห้างไม่ได้ (สถานี Kawaramachi จะใช้ทางออกเดียวกับห้าง จำชื่อห้างไม่ได้) เราก็เดินมั่ว ๆ ไปออกประตูอะไรก็ไม่รู้อ่ะ คือไม่เคยจำเลยเพื่อนพาไปไหนมาไหนตลอด อันนี้เป็นข้อเสียของการไม่ศึกษาให้ดีนะ อย่าหวังเพิ่งแต่คนอื่นถ้าวันนึงมันเกิดเหตุการแอคซิเดนท์แบบนี้ขึ้นมันจะเงิบมากกกเหมือนที่เราเป็นอยู่ตอนนี้  ไม่ต้องหวังหรอกว่าจะหาเพื่อนเจอ เอาเป็นว่าแค่หาทางว่าจะกลับไปที่บ้านต้องออกประตูไหนเรายังตึ้บเลยตอนนี้


เดินออกจากตูห้างได้ก็มองไปรอบ ๆ ว่าตัวเองจะจำได้แค่ไหน ก็เดินออกมาเริ่มคุ้น ๆ ก็เดินไปเรื่อย ๆ ปรากฏว่าเจอเพื่อนนั่งรออยู่ที่หน้าตึก Marui โอ้ยยยย กรี๊ดดีใจน้ำตาไหล นี่เป็นการเจอโดยบังเอิญค่ะ ขอบคุณพระเจ้ามาก ๆ ไม่งั้นเราต้องเสียเวลาเดินกลับไปที่บ้าน เพื่อนถามว่าเธอมารถไฟรอบกี่โมง เราก็บอกว่าเวลาเดียวกับที่เธอบอกนั่นแหละ แล้วพยายามเดินไปที่โบกี้ที่สองแล้วแต่คนมองเยอะมากเหมือนเสียมารยาทก็เลยไม่เดินดีกว่า แล้วพวกนางก็ถามว่าแล้วทำไมถึงออกมาจากสถานีช้าจัง เราก็บอกว่าเราเข้าห้องน้ำอยู่ โอเค จบปึ้ง รับทราบเจอกันเรียบร้อยโรงเรียนเกียวโตนะแจ๊ะ




เด็กๆ ก็อยากดูเพื่อน






ซื้อของฝากเพื่อน




เจอกันแล้วเดี๋ยวไปช้อปปิ้งกันต่อค่ะ แล้วก็ไปทำอะไรสนุก ๆ กันเถอะ .......







ก่อนจากอยากแถม .......ดอกบ๊วยบาน




















































To be continue.........













3/21/14

ทริปเยี่ยมญาติ Japan 2014 : Yakiniku เวลาเนื้อย่าง เวลาสวรรค์







กลับมาถึงเกียวโตตอนทุ่มนึงเป่ะ ชาวคณะอิโตแฟมิลี่นั่งรอไปกินเนื้อย่างอยู่แล้ว วันนี้น้องสาวกลับบ้านเร็วเพื่อจะไปกินกับเราด้วยเพราะพรุ่งนี้น้องจะไปฟุกุโอกะแต่เช้าและจะกลับมาวันเรากลับพอดี ซึ่งเรากลับไฟล์ทเช้าน้องมาถึงบ้านตอนสายไม่ได้เจอกันแน่แล้วววว วันนี้เลยถือโอกาสไปเลี้ยงส่งเราด้วยเลย {(-_-)}、




เอาแผนที่ร้านมาแปะไว้ให้สีเขียวคือบ้านอายาริสีแดงคือร้านเนื้อย่าง ลงสถานีที่เห็นแล้วเดิน 10 นาทีจ้าาา




น้องสาวเอาของฝากมาให้บอกว่าเผื่อกลับมาไม่ทันเจอกันให้วันนี้เลยก็แล้วกัน คือดูดิ!บ้านก็ให้อยู่ฟรี ข้าวก็เลี้ยงแถมยังมีของฝากให้อีกอะไรจะน่ารักกันขนาดนี้อ่ะค๊าาาาาา

เสร็จขบวนการของฝากเราก็เดินตามม่าม้าไปกันต้อยๆ สักประมาณ 10 นาทีก็มาถึงร้านเนื้อย่างซึ่งชื่อร้านเป็นภาษาญี่ปุ่น แน่นอนว่าถ้ามาเองก็ไม่รู้หรอกว่านี้มันร้านอะไร
หน้าร้านดูเป็นบ้านคนธรรมดาถ้าเป็นร้านอาหารก็ธรรมดาเลยนะแต่พอขึ้นมาชั้นสองเท่านั้นแหละ แหมมม ! มันสัมผัสได้ถึงรังสีความหฤโหดของราคานะจ๊ะ 
น้องพนักงานที่มารับออร์เดอร์ก็น่ารักมากคือร้านนี้พนักงานใส่เครื่องแบบเป็นยูกาตะค่ะแล้วน้องหน้าเหมือนญารินดา  โห้ยยยยยย พอพนักงานเดินไปเรานี่หันไปบอกอายาริเลย พนักงานแม่งคาวาอี้ว่ะ !!! 




ถ่ายรูปครอบครัว





ชื่อร้านดูที่กระดาษหุ้มตะเกียบเอานะก๊ะ เค้าอ่านไม่ออก




ด้วยความที่เมนูเป็นภาษาญี่ปุ่นเลยยกให้เจ้าบ้านเค้าสั่งไปเลยเราอ่านออกคำเดียวคือ บี หรุ หรือ เบียร์นั่นเองงงงง น้องสาวสั่งเป็นเลม่อนผสมแอลกอฮอล์อร่อยมากกกก (คืออะไรที่เป็นแอลกอฮอร์สำหรับเรานี่อร่อยทุกอย่างสินะ) หลังจากหมดเบียร์แก้วโคตรใหญ่ของตัวเองแล้วเราก็สั่งแบบน้องสาวต่อ แหมมม!!! หลายขนานนะค่ะ 

จานแรกมาเป็นเนื้อสไลด์(แต่ส่วนไหนไม่รู้) มาพร้อมเลม่อน 4 ซีกเราก็มองว่าเลม่อนนั้นคือการประดับตกแต่งเฉยๆ แต่ !!!! เลม่อนที่ฝานมาเอามาเป็นซอสจ๊ะ ตอนแรกคิดว่าเนื้อย่างจิ้มมะนาวคือมันจะอร่อยเหรอว่ะ ? ญี่ปุ่นแม่งคิดอะไรแผลงๆ หลอกกูให้กินนัตโตะนั่นก็ทีนึงล่ะ ปรากฏว่าจิ้มตามและอร่อยมากจ้าาาาาา คนญี่ปุ่นนี่ล้ำเนอะรู้ได้ไงว่าเนื้อย่างแบบนี้ต้องจิ้มเลม่อนแล้วจะอร่อย 



ขอให้เจ้าภาพจงเจริญ !!!!






เพื่อนรักไม่หักเหลี่ยมแต่นางโหดมากกกกกก




กินไปเม้าท์มอยไปจนกระทั่งถึงเวลาของหวาน เราสั่งเป็นพุดดิ้งเหมือนกันทั้งหมดสี่คน พอพนักงานมาเสิร์ฟมีไอติมชาเขียวถั่วแดงมาด้วยแอบงง กันนิดนึง สอบถามได้ความว่า วันนี้เป็นวันผู้หญิง (3 มีนาคม) สำหรับลูกค้าผู้หญิงเลยมีของแถมพิเศษให้ 
แหมมมม ขอเปลี่ยนเป็นเนื้อติดมันซัก4 จานได้ไหมคะ




หน้าเริ่มเมาแล้วววว




ออร์เดิฟกิมจิ 




เซ็ทแรกเนื้อวัว แต่ส่วนไหนไม่รู้นะ T_T





บนโต๊ะเนื้อย่างเราคุยกันถึงเรื่องคนญี่ปุ่นกินไข่ดิบแล้วราดลงบนข้าว ดราบอกว่าไข่ไทยกินดิบๆ ไม่ได้เพราะมันไม่สดและมีกลิ่นคาวเราอยากลองกินไข่ดิบแบบนี้บ้าง

ม่าม้าจัดให้จ้าาาา ระหว่างมางเดินกลับบ้านม่าม้าแวะซื้อไข่ที่ซุปเปอร์ด้วยแผงนึงหันหน้ามาบอกเราว่าพรุ่งได้กินแล้วนะปูจัง ฮ่าาาา




ซุปไข่+ข้าว อายาริสั่งมากลัวเราไม่อิ่ม





เซ็ทเครื่องใน





อันนี้พระเอกกับนางเอกของงาน ตอนปิ้งนี่ดังฉ่าาาา !!





ป้ายด้วยมิโสะแล้วห่อด้วยผักสไตล์เกาหลี





แม่ปิ้งให้กิน






นุ่มชุ่มลิ้นละมุนละไมมมมมมม





ซุปผักซักอย่าง






ปิดท้ายด้วยของหวาน





น้องสาวร่าเริง





โกจิโซซามะเดชิตะ ! ごじそうさまでした☆




เดินฝ่าลมหนาวกลับบ้านด้วยความอิ่มที่แทบจะกลิ้งแทนเดิน ( มันอิ่มอีพุดดิ้งกับไอติมชาเขียวนั่นแหละ) พรุ่งนี้อายาริทำงานช่วงเช้าส่วนเราก็จะไปตามรอยการ์ตูนตามประสา แล้วไปกินข้าวที่บ้านเพื่อนตอนเย็น ส่วนตอนนี้แยกย้ายกันไปนอนพรุ่งนี้ออกจากบ้าน 9 โมงอีกแว้ววววว ....


To be continue ......