หน้านี้เรามาว่าด้วยเรื่องของโฮสเทลกัน.....
อย่างที่บอกไปว่ารอบนี้ชีวิตในโตเกียวของเราคือการบุกเดี่ยวค่ะ ไม่มีการนอนบ้านเพื่อนหรือให้เพื่อนพาไปไหนๆ ทั้งสิ้น ครั้งนี้เลยต้องหาที่ซุกหัวนอนกันหน่อย ด้วยความที่ไปคนเดียวก็ตัดความหรูหรา สะดวกสบาย ความแพงทิ้งไป (เพราะยังไงก็ไม่มีตังจ่ายแพงๆ อยู่ดี) ได้มาเป็นโฮสเทลแคปซูลคืนละประมาณ 650-700 บาทต่อคืนโดยการแนะนำของน้องที่ทำงานค่ะ น้องมาโตเกียวก่อนเราประมาณเดือนนึงตอนน้องส่งรูปมาให้ดูก็สนใจมากเพราะราคาไม่แพงใกล้สถานีและสภาพดูโอเคก็เลยตัดสินใจจองไป
เรากดจองผ่าน Booking.com ค่ะ
โฮสเทลนี้ชื่อว่า 1 night 1980 hostel หรือแปลเป็นไทยง่อยๆ ว่า โฮสเทลราคา 1980 เยนต่อคืนนั่นเอง (แต่อย่าลืมบวกภาษีเข้าไป 8% นะ) ตกเป็นเงินไทยก็ประมาณ 650-700 บาทตามค่าเงิน การเดินทางก็สะดวกมากสามารถเดินได้ประมาณ 5-10 นาทีจากสถานี Iriya ค่ะ (ถัดจาก Ueno แค่สถานีเดียว)
การเดินทางถ้ามาจาก Ueno มาถึง Iriya ให้ออกทางออกที่ 4 แล้วเดินขึ้นมา หันหลังให้สถานีเดินมาทางซ้ายมือโลดค่ะ ให้มองไว้ทางซ้ายมือเป็นอพาร์ตเม้นท์ใหญ่ๆ อิฐสีส้มแดง เดินมาสัก 3 นาทีจะเจอฝั่งตรงข้ามหรือขวามือของเราเป็นตึกโตโยต้า (ถ้าเห็นตึกโตโยต้าแสดงว่ามาถูกทางล่ะ) และเราจะมองเห็นสะพานลอยค่ะ ก่อนจะถึงสะพานลอยจะมีถนนเล็กๆ ให้เราเลี้ยวซ้ายเข้าไป แล้วเลี้ยวขวาอีกทีก็จะเจอโฮสเทลเป็นประตูกระจกเล็กๆ เปิดเข้าไปได้เลย ถ้าจองมาก็ยื่นพาสปอร์ตให้รีเซฟชั่นได้เลยค่ะ
เปิดประตูเข้ามาเราต้องเปลี่ยนรองเท้าก่อนค่ะใส่สลิปเปอร์ที่เค้าวางไว้ห้ามใส่รองเท้าเหยียบพื้นพรมเค้านะ ส่วนข้างหน้ารีเซฟชั่นก็จะมี Ticket vending machine ให้เราซื้อตั๋ว หลังจากกรอกข้อมูลเช็คอินเสร็จ เราต้องมาซื้อตั๋วที่ตู้นี้ คือกดจำนวนคืนที่จะนอนไป แล้วหยอดเงินให้ครบตั๋วจะออกมาเราก็ไปยื่นตั๋วให้พนักงานค่ะ
พนักงานจะให้ถุงยังชีพเรามา 1 ใบ ในถุงจะมีผ้าขนหนูผืนใหญ่ 1 และผืนเล็ก 2 แปรงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่ ยาสระ ครีมนวด ก็ใช้เพียงพอในการดำเนินชีวิตประมาณ 2-3 วันค่ะ ส่วนใครอยู่นานกว่านั้นแล้วใช้ไม่พอก็ไปกดที่ Vending machine ได้ ทุกอย่างรวมกันอยู่ที่ตู้กดค่าห้องนั่นแหละ แม้กระทั่งหวีก็มีขายนะ
นอกจากถุงยังชีพแล้วเราจะได้ป้ายห้อยคอมา 1 พวง จะเป็นคีย์การ์ดสำหรับแตะเข้าห้องนอนและกุญแจสำหรับห้องเก็บกระเป๋ามาคนละ 1 ดอก พร้อมกับกระดาษเอสี่ 1 ใบที่ระบุกฏเกณฑ์ของการเข้าพักเอาไว้มีภาษาอังกฤษและญี่ปุ่นค่ะ แนะนำให้อ่านให้หมดนะ เพราะเราอ่านไม่หมดก็เลยทำผิดไป 1 ข้อ ฮ่าๆๆ กลายเป็นว่าโดนลุงเจ้าของโฮสเทลดุเลย
ก็คือในระหว่างที่เราพักอยู่ที่นี่ถ้าเราจะไปเที่ยวข้างนอกให้เราเอาป้ายห้อยคอฝากไว้ที่รีเซฟชั่นค่ะ เค้าจะให้การ์ดเรามา 1 ใบ พอเรากลับเข้ามาก็เอาการ์ดไปแลกป้ายห้อยคอของเราคืน เพราะเค้าบอกว่าลูกค้าทำหายบ่อยแล้วตัวคีย์การ์ดมันแพงมากถ้าต้องทำใหม่เค้าเลยป้องกันด้วยวิธีนี้
แล้วเราอ่านกฏไม่หมดค่ะ เลยไม่ได้ฝากคีย์การ์ดไว้ เอาไปด้วยแต่ก็ไม่ได้ทำหายนะ กลับมาโดนลุงเจ้าของบ้านดุเลย แฮ่ๆๆ
มาว่ากันต่อ
หลังจากที่รับบัตรและถุงยังชีพทุกอย่างแล้วเราก็กดลิฟท์ขึ้นมาชั้น 6 เป็นชั้นสำหรับผู้หญิง ส่วนผู้ชายจะอยู่ที่ชั้น 5 ที่นี่มีชั้นดาดฟ้าด้วยแต่เราขี้เกียจเลยไม่ได้ขึ้นไปก็วนๆ อยู่แค่ชั้น 1 กับ 6 เท่านั้นเอง
**เราถ่ายรูปโฮสเทลมาไม่เยอะเท่าไหร่ เดี๋ยวแปะรูปจากเน็ตไว้ที่ด้านล่างละกัน เผื่อใครสนใจอยากไปพักจะได้มีข้อมูล**
อันนี้รูปเราเอง
หยิบสลิปเปอร์จากในตะกร้านี้ก่อนเดินขึ้นไปนะคะ
มีเครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า ส่วนการตากก็ห้อยๆ ไว้รอบห้องเก็บกระเป๋ากับที่นอนค่ะ 555
ลิฟท์ขึ้นไปยังที่นอน
สิ่งที่บรรจุในถุงยังชีพ
ที่นอนจะมีผ้าปูที่นอน หมอน ผ้าห่ม เราต้องจัดการตัวเองค่ะ ไม่มีแม่บ้านมาจัดการให้ บนหัวนอนมีปลั๊ก กับที่วางของ เราเอาไว้วางอาหาร กินมันในนี้แหละ 555 จริงๆ เค้ามีโต๊ะด้านนอกค่ะ นั่งกินชิวๆ ดูวิวริมหน้าต่าง แต่ขี้เกียจไง กลับมาก็ดึกแล้วกินในนี้แหละ
ผ้าม่านปิดทางเข้าออก
**Credit Google**
อันนี้เป็นรูปที่นอนค่ะ เราเลือกนอนข้างล่างเพราะขี้เกียจปีน (จริงๆ กลัวเมาแล้วหล่น ฮ่าๆๆ) ตอนจองผ่านเว็บเราสามารถรีเควสได้เลยว่าอยากนอนชั้นไหน
ฝั่งขวามือคือห้องเก็บกระเป๋าและของมีค่า ซึ่งเลขจะตรงกับที่นอนเราค่ะ แต่ถ้าใครนอนฝั่งนี้อาจจะเสียงดังนิดนึงเพราะมีคนเข้าออกตลอดเวลา ตอนจองก็รีเควสห้องไม่ติดกับล็อคเกอร์ไปดีกว่า แต่เราได้ห้องติดกำแพงไปนะแต่เสียงเหมือนเดิมแหละเพราะสาวจีนมันลากกระเป๋ามาแพคของหน้าที่นอนจ้าาาา แล้วเตียงนางติดเรา โหหหหห เสียงถุงพลาสติกก้อปแก้บทั้งคืน ใครเป็นโรคขี้รำคาญไม่แนะนำให้พักแคปซูลจ๊ะ อาจมีลุกมาตบกลางดึก 5555
ความกว้างของห้องก็ขนาดตัวคนนอนค่ะ แอบวางเสื้อผเาเครื่องสำอางค์ได้นิดหน่อย ตอนเราไปอากาศยังเย็นอยู่เลยนอนได้สบายๆ แต่เราไม่แน่ใจว่าตอนหน้าร้อนมันจะร้อนไหม แต่คิดว่าเค้าคงเปิดแอร์ให้ความเย็นได้ทั่วถึงค่ะ แต่ละแคปซูลจะมีพัดลมระบายอากาศอยู่ไม่ต้องกลัวหายใจไม่ออก
ห้องอาบน้ำสไตล์ญี่ปุ่น มีตะกร้าไว้ให้เราวางของหน้าห้อง สำหรับพื้นที่ห้องอาบน้ำต้องใช้คีย์การ์ดแตะเข้ามานะคะ เช่นเดียวกับห้องนอน แต่ห้องส้วมจะแยกออกมาอีกห้องนึงค่ะไม่ต้องใช้คีย์การ์ด
อันนี้ยอมรับว่าห้องน้ำห้องอาบน้ำเค้าสะอาดมากค่ะ ไม่ต้องกลัวว่าที่พักรวมแล้วจะสกปรก น้ำแรงด้วยอาบแบบสะใจมาก
ส่วนใครอยากแช่น้ำร้อนก็มีห้องที่มีอ่างไว้บริการค่ะ อยู่ในห้องอาบน้ำนี่แหละเดินเมื่อยกลับมาก็เอาตัวลงไปแช่ได้
ในส่วนของห้องอาบน้ำ เอาไว้ล้างหน้าแปรงฟันทาครีมซักล้างได้
ด้านหน้าโฮสเทล ใครเจอป้ายนี้แสดงว่ามาถูกทางแล้ว
เรามาว่าเรื่องข้อเสียกันบ้างคือ
แถวนี้ไม่ค่อยมีร้านอาหารหรือคอนวีเนี่ยนสโตร์ค่ะ ถ้าจะไปต้องเดินไปแถวๆ สถานี (ก็คือเดินประมาณ 10 นาทีนั่นเอง)
มีร้านโยชิโนย่าที่เปิดถึงตี3 แต่ต้องเดินไปที่สถานีเช่นกัน
มีซุปเปอร์มาเก็ตใหญ่ๆ แต่! ก็อยู่ที่แถวๆ สถานีอีกนั่นแหละอันนี้ปิดเที่ยงคืน
สรุปว่าก่อนกลับมานอนก็ซื้อของติดไม้ติดมือเข้ามาด้วยค่ะเผื่อหิวกลางดึกหรือตอนเช้าตรู่จะได้มีอะไรกิน
โฮสเทลนี้ติดโรงเรียนมัธยม ช่วงเช้าๆ สายๆ อาจจะมีเสียงตามสายหรือเสียงเด็กเข้าชมรมอะไรแบบนี้ (แต่ไม่ดังมากสำหรับเรา) ส่วนใครที่เป็นโรคแบบเจอเสียงไรนิดหน่อยก็สะดุ้งตื่นอันนี้จะไม่แนะนำมาพักนะคะ
แถวนี้เป็นย่านที่พักอาศัยสัก 2-3 ทุ่มก็ไม่ค่อยมีคนเดินแล้ว ถนนจะมืดและค่อนข้างเงียบ ไม่แนะนำให้ออกมาเดินคนเดียวกลางดึกอาจจะมีอันตรายได้
ป.ล. ชักโครกเป็นระบบอุ่นตูด ทำให้ขี้ดีมากกกกกกกกกก
บล็อกนี้จบการรีวิวโฮสเทบแต่เพียงเท่านี้
สวัสดีค่ะ