5/28/16

Japan Summer 2016 : 1 night 1980 hostel




หน้านี้เรามาว่าด้วยเรื่องของโฮสเทลกัน.....


อย่างที่บอกไปว่ารอบนี้ชีวิตในโตเกียวของเราคือการบุกเดี่ยวค่ะ ไม่มีการนอนบ้านเพื่อนหรือให้เพื่อนพาไปไหนๆ ทั้งสิ้น ครั้งนี้เลยต้องหาที่ซุกหัวนอนกันหน่อย ด้วยความที่ไปคนเดียวก็ตัดความหรูหรา สะดวกสบาย ความแพงทิ้งไป (เพราะยังไงก็ไม่มีตังจ่ายแพงๆ อยู่ดี) ได้มาเป็นโฮสเทลแคปซูลคืนละประมาณ 650-700 บาทต่อคืนโดยการแนะนำของน้องที่ทำงานค่ะ น้องมาโตเกียวก่อนเราประมาณเดือนนึงตอนน้องส่งรูปมาให้ดูก็สนใจมากเพราะราคาไม่แพงใกล้สถานีและสภาพดูโอเคก็เลยตัดสินใจจองไป


เรากดจองผ่าน Booking.com ค่ะ 


โฮสเทลนี้ชื่อว่า 1 night 1980 hostel หรือแปลเป็นไทยง่อยๆ ว่า โฮสเทลราคา 1980 เยนต่อคืนนั่นเอง (แต่อย่าลืมบวกภาษีเข้าไป 8% นะ) ตกเป็นเงินไทยก็ประมาณ 650-700 บาทตามค่าเงิน การเดินทางก็สะดวกมากสามารถเดินได้ประมาณ 5-10 นาทีจากสถานี Iriya ค่ะ (ถัดจาก Ueno แค่สถานีเดียว) 


การเดินทางถ้ามาจาก Ueno มาถึง Iriya ให้ออกทางออกที่ 4 แล้วเดินขึ้นมา หันหลังให้สถานีเดินมาทางซ้ายมือโลดค่ะ ให้มองไว้ทางซ้ายมือเป็นอพาร์ตเม้นท์ใหญ่ๆ อิฐสีส้มแดง เดินมาสัก 3 นาทีจะเจอฝั่งตรงข้ามหรือขวามือของเราเป็นตึกโตโยต้า (ถ้าเห็นตึกโตโยต้าแสดงว่ามาถูกทางล่ะ) และเราจะมองเห็นสะพานลอยค่ะ ก่อนจะถึงสะพานลอยจะมีถนนเล็กๆ ให้เราเลี้ยวซ้ายเข้าไป แล้วเลี้ยวขวาอีกทีก็จะเจอโฮสเทลเป็นประตูกระจกเล็กๆ เปิดเข้าไปได้เลย ถ้าจองมาก็ยื่นพาสปอร์ตให้รีเซฟชั่นได้เลยค่ะ 



เปิดประตูเข้ามาเราต้องเปลี่ยนรองเท้าก่อนค่ะใส่สลิปเปอร์ที่เค้าวางไว้ห้ามใส่รองเท้าเหยียบพื้นพรมเค้านะ ส่วนข้างหน้ารีเซฟชั่นก็จะมี Ticket vending machine ให้เราซื้อตั๋ว หลังจากกรอกข้อมูลเช็คอินเสร็จ เราต้องมาซื้อตั๋วที่ตู้นี้ คือกดจำนวนคืนที่จะนอนไป แล้วหยอดเงินให้ครบตั๋วจะออกมาเราก็ไปยื่นตั๋วให้พนักงานค่ะ


พนักงานจะให้ถุงยังชีพเรามา 1 ใบ ในถุงจะมีผ้าขนหนูผืนใหญ่ 1 และผืนเล็ก 2 แปรงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่ ยาสระ ครีมนวด ก็ใช้เพียงพอในการดำเนินชีวิตประมาณ 2-3 วันค่ะ ส่วนใครอยู่นานกว่านั้นแล้วใช้ไม่พอก็ไปกดที่ Vending machine ได้ ทุกอย่างรวมกันอยู่ที่ตู้กดค่าห้องนั่นแหละ แม้กระทั่งหวีก็มีขายนะ


นอกจากถุงยังชีพแล้วเราจะได้ป้ายห้อยคอมา 1 พวง จะเป็นคีย์การ์ดสำหรับแตะเข้าห้องนอนและกุญแจสำหรับห้องเก็บกระเป๋ามาคนละ 1 ดอก พร้อมกับกระดาษเอสี่ 1 ใบที่ระบุกฏเกณฑ์ของการเข้าพักเอาไว้มีภาษาอังกฤษและญี่ปุ่นค่ะ แนะนำให้อ่านให้หมดนะ เพราะเราอ่านไม่หมดก็เลยทำผิดไป 1 ข้อ ฮ่าๆๆ กลายเป็นว่าโดนลุงเจ้าของโฮสเทลดุเลย

ก็คือในระหว่างที่เราพักอยู่ที่นี่ถ้าเราจะไปเที่ยวข้างนอกให้เราเอาป้ายห้อยคอฝากไว้ที่รีเซฟชั่นค่ะ เค้าจะให้การ์ดเรามา 1 ใบ พอเรากลับเข้ามาก็เอาการ์ดไปแลกป้ายห้อยคอของเราคืน เพราะเค้าบอกว่าลูกค้าทำหายบ่อยแล้วตัวคีย์การ์ดมันแพงมากถ้าต้องทำใหม่เค้าเลยป้องกันด้วยวิธีนี้ 

แล้วเราอ่านกฏไม่หมดค่ะ เลยไม่ได้ฝากคีย์การ์ดไว้ เอาไปด้วยแต่ก็ไม่ได้ทำหายนะ กลับมาโดนลุงเจ้าของบ้านดุเลย แฮ่ๆๆ 


มาว่ากันต่อ

หลังจากที่รับบัตรและถุงยังชีพทุกอย่างแล้วเราก็กดลิฟท์ขึ้นมาชั้น 6 เป็นชั้นสำหรับผู้หญิง ส่วนผู้ชายจะอยู่ที่ชั้น 5 ที่นี่มีชั้นดาดฟ้าด้วยแต่เราขี้เกียจเลยไม่ได้ขึ้นไปก็วนๆ อยู่แค่ชั้น 1 กับ 6 เท่านั้นเอง


**เราถ่ายรูปโฮสเทลมาไม่เยอะเท่าไหร่ เดี๋ยวแปะรูปจากเน็ตไว้ที่ด้านล่างละกัน เผื่อใครสนใจอยากไปพักจะได้มีข้อมูล**



อันนี้รูปเราเอง


หยิบสลิปเปอร์จากในตะกร้านี้ก่อนเดินขึ้นไปนะคะ




มีเครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า ส่วนการตากก็ห้อยๆ ไว้รอบห้องเก็บกระเป๋ากับที่นอนค่ะ 555



Ticket vending machine อยากได้เครื่องยังชีพอะไรเดินมาที่นี่




รูปนักท่องเที่ยวที่เข้าพักจากทั่วโลก




ลิฟท์ขึ้นไปยังที่นอน




สิ่งที่บรรจุในถุงยังชีพ




ที่นอนจะมีผ้าปูที่นอน หมอน ผ้าห่ม เราต้องจัดการตัวเองค่ะ ไม่มีแม่บ้านมาจัดการให้ บนหัวนอนมีปลั๊ก กับที่วางของ เราเอาไว้วางอาหาร กินมันในนี้แหละ 555 จริงๆ เค้ามีโต๊ะด้านนอกค่ะ นั่งกินชิวๆ ดูวิวริมหน้าต่าง แต่ขี้เกียจไง กลับมาก็ดึกแล้วกินในนี้แหละ 




ผ้าม่านปิดทางเข้าออก





**Credit Google**



อันนี้เป็นรูปที่นอนค่ะ เราเลือกนอนข้างล่างเพราะขี้เกียจปีน (จริงๆ กลัวเมาแล้วหล่น ฮ่าๆๆ) ตอนจองผ่านเว็บเราสามารถรีเควสได้เลยว่าอยากนอนชั้นไหน 




ฝั่งขวามือคือห้องเก็บกระเป๋าและของมีค่า ซึ่งเลขจะตรงกับที่นอนเราค่ะ แต่ถ้าใครนอนฝั่งนี้อาจจะเสียงดังนิดนึงเพราะมีคนเข้าออกตลอดเวลา ตอนจองก็รีเควสห้องไม่ติดกับล็อคเกอร์ไปดีกว่า แต่เราได้ห้องติดกำแพงไปนะแต่เสียงเหมือนเดิมแหละเพราะสาวจีนมันลากกระเป๋ามาแพคของหน้าที่นอนจ้าาาา แล้วเตียงนางติดเรา โหหหหห เสียงถุงพลาสติกก้อปแก้บทั้งคืน ใครเป็นโรคขี้รำคาญไม่แนะนำให้พักแคปซูลจ๊ะ อาจมีลุกมาตบกลางดึก 5555




ความกว้างของห้องก็ขนาดตัวคนนอนค่ะ แอบวางเสื้อผเาเครื่องสำอางค์ได้นิดหน่อย ตอนเราไปอากาศยังเย็นอยู่เลยนอนได้สบายๆ แต่เราไม่แน่ใจว่าตอนหน้าร้อนมันจะร้อนไหม แต่คิดว่าเค้าคงเปิดแอร์ให้ความเย็นได้ทั่วถึงค่ะ แต่ละแคปซูลจะมีพัดลมระบายอากาศอยู่ไม่ต้องกลัวหายใจไม่ออก



ห้องอาบน้ำสไตล์ญี่ปุ่น มีตะกร้าไว้ให้เราวางของหน้าห้อง สำหรับพื้นที่ห้องอาบน้ำต้องใช้คีย์การ์ดแตะเข้ามานะคะ เช่นเดียวกับห้องนอน แต่ห้องส้วมจะแยกออกมาอีกห้องนึงค่ะไม่ต้องใช้คีย์การ์ด
อันนี้ยอมรับว่าห้องน้ำห้องอาบน้ำเค้าสะอาดมากค่ะ ไม่ต้องกลัวว่าที่พักรวมแล้วจะสกปรก น้ำแรงด้วยอาบแบบสะใจมาก
ส่วนใครอยากแช่น้ำร้อนก็มีห้องที่มีอ่างไว้บริการค่ะ อยู่ในห้องอาบน้ำนี่แหละเดินเมื่อยกลับมาก็เอาตัวลงไปแช่ได้ 



ในส่วนของห้องอาบน้ำ เอาไว้ล้างหน้าแปรงฟันทาครีมซักล้างได้




ด้านหน้าโฮสเทล ใครเจอป้ายนี้แสดงว่ามาถูกทางแล้ว



เรามาว่าเรื่องข้อเสียกันบ้างคือ
แถวนี้ไม่ค่อยมีร้านอาหารหรือคอนวีเนี่ยนสโตร์ค่ะ ถ้าจะไปต้องเดินไปแถวๆ สถานี (ก็คือเดินประมาณ 10 นาทีนั่นเอง) 
มีร้านโยชิโนย่าที่เปิดถึงตี3 แต่ต้องเดินไปที่สถานีเช่นกัน 
มีซุปเปอร์มาเก็ตใหญ่ๆ แต่! ก็อยู่ที่แถวๆ สถานีอีกนั่นแหละอันนี้ปิดเที่ยงคืน
สรุปว่าก่อนกลับมานอนก็ซื้อของติดไม้ติดมือเข้ามาด้วยค่ะเผื่อหิวกลางดึกหรือตอนเช้าตรู่จะได้มีอะไรกิน


โฮสเทลนี้ติดโรงเรียนมัธยม ช่วงเช้าๆ สายๆ อาจจะมีเสียงตามสายหรือเสียงเด็กเข้าชมรมอะไรแบบนี้ (แต่ไม่ดังมากสำหรับเรา) ส่วนใครที่เป็นโรคแบบเจอเสียงไรนิดหน่อยก็สะดุ้งตื่นอันนี้จะไม่แนะนำมาพักนะคะ


แถวนี้เป็นย่านที่พักอาศัยสัก 2-3 ทุ่มก็ไม่ค่อยมีคนเดินแล้ว ถนนจะมืดและค่อนข้างเงียบ ไม่แนะนำให้ออกมาเดินคนเดียวกลางดึกอาจจะมีอันตรายได้ 



ป.ล. ชักโครกเป็นระบบอุ่นตูด ทำให้ขี้ดีมากกกกกกกกกก 

บล็อกนี้จบการรีวิวโฮสเทบแต่เพียงเท่านี้

สวัสดีค่ะ

5/15/16

Japan Summer 2016 : ญี่ปุ่นอยากมา(ติ่ง)ก็มา




ทริปนี้คือวางแผนไว้ครึ่งปีแหละว่าจะไป แพลนนั่นนี่ไว้เต็มไปหมด ตอนแรกจะไปต้นพฤษภาคม กลายมาเป็นกลางพฤษภาคม จะบอกว่าเรานี่เฝ้าหน้าเว็บแอร์เอเชียร์ทุกวันเลย จากราคาไปกลับ 14xxx จนมาเคาะที่ต้นเดือนมิถุนายน เหลือไปกลับ 8,600 (โหลดกระเป๋าขากลับอย่างเดียวนะ) กรีดร้องงงงงงง ในที่สุดก็สอยราคานี้มาได้ ฮ่าๆๆๆๆ ถึงแม้มันจะไม่ใช่ฟูลเซอร์วิสก็ตามแต่ได้ราคานี้เราโอเค 


ไปญี่ปุ่นรอบนี้ไม่ได้บอกใครเลย มีอายาริคนเดียวที่รู้ คือรู้ไงว่าถ้าบอกเพื่อนว่าจะมาเพื่อนก็ต้องลำบากนั่งรถไฟมาเจอ พาไปเลี้ยงข้าวอะไรแบบนี้แน่ๆ อีกอย่างเรามีเวลาในโตเกียวน้อยด้วย กลัวว่าเวลาเรากับเพื่อนจะไม่ตรงกันก็จะลำบากทั้งสองฝ่ายเลยคิดว่าไปเงียบๆ น่าจะดีกว่า


ขาไปเราไปลงนาริตะ และอยู่โตเกียว 2 คืน โตเกียวรอบนี้พักโฮสเทล เป็นแคปซูลชื่อ 1 night 1980 hostel (หรือเอาที่เข้าใจง่ายๆ เลยคือเป็นโฮสเทลราคาต่อคืน คืนละ 1980 เยนนั่นเอง) คิดราคาเป็นเงินไทยแบบผันผวนตามค่าเงิน ก็จะตกคืนละ 650-700 บาทต่อคืน เดี๋ยวมารีวิวโฮสเทลแบบเต็มๆให้ฟังค่ะ


ไฟล์ทขาไปเราลงนาริตะ เวลาไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่คือบินเช้าถึงโตเกียวตอนทุ่มนึง เสียเวลาไปหนึ่งวัน แต่ไม่เป็นไรตั๋วถูกเรายอมมมม มาถึงนาริตะแล้วผ่านด่านทุกอย่าง (รอบนี้เราไม่โดนตรวจกระเป๋าเพราะเลือกเข้าช่องที่เป็นโอจี้จังท่าทางใจดีหน่อย) เราออกมาซื้อตั๋วรถไฟ ครั้งนี้เราอยู่โตเกียว 2 คืน เราซื้อเป็น Metro 48 hour ticket ราคา 1200 เยน ซึ่งสามารถใช้โดยสารรถไฟ Metro, Toei ได้ไม่จำกัดใน 48 ชั่วโมง
และเติมเงินในบัตรพาสโม่ อีก 2000 เยนเพื่อที่จะเอาไว้ใช้กับเจอาร์หรือสายอื่นที่ไม่ใช่เมโทร ซื้อพาสโม่หรือซุอิกะไว้เถิดเพื่อความสะดวกสบายของตัวท่านเอง (ซึ่งได้ใช้จริงๆ ก็แค่ 400 เยนค่ะ เพราะด้วยความงกเราก็ใช้แต่เมโทรตลอด) 





ซื้อพาสทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เราไปหาอะไรกินก่อนเมื่อเช้าเรากินแซนด์วิชโง่ๆ กับน้ำส้มไปแค่นิดเดียวเอง แบกท้อง 6 ชั่วโมงบนเครื่อง อยากเขกหัวตัวเองที่กินน้อย 5555 ได้โอนิกิริไข่ปลากับ Meiji au lait มา อร่อยดีแนะนำให้ลองกิน




เราเข้าเมืองกันดีกว่า ด้วยขวัญใจคนยากเจ้าเดิม Keisei Main Line จากนาริตะไปสุดสายที่อุเอโนะ 1030 เยน (ไม่สามารถใช้เมโทรพาสได้นะคะ) ถ้าไม่รีบร้อนอะไรแนะนำสายนี้นะถูกมาก แต่ก็หวานเย็นมากเช่นกัน ใช้เวลาวิ่งจากนาริตะไปอุเอโนะประมาณ 80 นาทีค่ะ (นั่งส่องหนุ่มหล่อๆ ไปก็แป่บเดียวก็ถึง) 




ถึงอุเอโนะก็จับรถไฟเมโทรฮิบิยะมาลงที่อิริยะด้วยความที่ไม่ได้ใช้อินเตอร์เน็ต ก็ขึ้นผิดฝั่งจ้าาาา ทั้งๆ ที่เดินในกูเกิ้ลสตรีทวิวมาแล้วแคปรูปไว้แล้วว่าโผล่ขึ้นมาต้องเจอตึกแบบนี้ๆ นะ ด้วยความที่ตึกมันเหมือนกันแถมสถานีก็อยู่ตรงสี่แยกใหญ่ด้วยง่อยแดกเลยยยยย เดินวนไปๆๆ เกือบชั่วโมง วนจนรู้สึกไม่ไหวแล้วตัดสินใจเดินเข้าไปในร้านเหล้าค่ะ 5555 เข้าไปถามทาง เปิดรูปแผนที่ที่เราแคปไว้ให้เค้าดูโอนี่ซังที่นั่งกินเหล้าอยู่เค้าก็ใช้มือถือเค้า(ที่ใช้อินเตอร์เน็ตได้) เสิร์ชชื่อโฮสเทลเราแล้วพาเราออกมาหน้าร้านก็ชี้ๆ ให้ดูว่าต้องเดินๆ ไปทางนี้นะ เราก็ขอบคุณเค้าแล้วก็เดินมาประมาณ 10 ก้าว ก็เจอกับทางออกของสถานีที่เราแคปมา อีเชี้ยยยยยยยยย !!!!!!! คือเดินมาแล้วเดินมาแต่แรกเลย แต่เดินมาไม่ถึงเดินกลับไปเดิมใหม่ !!!! ถึงโฮสเทลเกือบเที่ยงคืนค่าาาาา ดีนะที่ส่งเมลไปบอกเค้าไว้ก่อนว่าเราจะเช็คอินเลท (ฟร้อนท์ที่นี่ปิด 5 ทุ่ม) ไม่งั้นคงไม่มีที่นอน 
ถึงแล้วววววววว เก็บกระเป๋าไปหาของกินต่อ อาหารญี่ปุ่นมื้อแรกจริงจังคือโยชิโนย่าตอนเที่ยงคืนกว่าๆ เนี่ยแหละ 5555 ข้าวหน้าเนื้ออร่อยยยยยย.....





หน้าต่อไปมาอัพเดทโฮสเทลกันนะคะ