4/24/14

ทริปเยี่ยมญาติ Japan 2014 : イチゴ狩りเก็บสตรอเบอร์รี่กันเถอะ





**บล็อกหน้านี้ออกแนวรีวิวกันเล็กน้อยนะฮ่ะ เผื่อว่ามีใครอยากได้ข้อมูลหรือตามรอยอะไรก็ว่ากันไป แต่ถ้าจะอ่านจากบล็อกว่าเดินทางไปยังไงแนะนำว่าดูแผนที่จะง่ายกว่า แปลเป็นไทยว่าอย่าคาดหวังนั่นเองนะฮะ**



วันนี้ตารางเวลาของพวกเราค่อนข้างแน่น และแลดูว่าจะป๊อปปูล่าเป็นที่สุดทุกอย่างที่จะทำวันนี้ต้องตรงตามเวลาห้ามเลทเป็นเด็ดขาด ไม่งั้นมันจะรวนหมด ช่วงเช้าเราจะไปเก็บสตรอเบอร์รี่ ตอนบ่ายจะไปถ่ายวีดีโอให้ทาโร่ ส่วนตอนเย็นจะไปกินข้าวด้วยกันเพราะเราจะอยู่เป็นวันสุดท้ายแล้ว

ตอนแรกอายาริจะพาเราไปเก็บสตรอเบอร์รี่ที่เกียวโต แต่ปรากฏว่านางไม่รู้ว่าต้องโทรจอง T___T พอเราถามว่าต้องจองคิวหรือเปล่า ? นางบอกอ้าว !! ต้องจองคิวด้วยเหรอ ?? เช้าวันนี้เราโทรไปปรากฏว่าคิวเต็มเรียบร้อย เอาไงดีหล่ะ ?!?! เรารีบเสิร์ชหาที่ใหม่เลยกลัวอย่างแรงกลัวไม่ได้ไปเก็บสตรอ ฮ่าาาๆๆ กูเกิ้ลกันไปเราเจอที่ Grand berry อยู่ที่โอซาก้า แต่จะเต็มไหมล่ะ ?? มันควรจองล่วงหน้าไม่ใช่เหรอ ?? ฮารุกะโอบ้าจังจัดการโทรไปจองคิว คนที่รอคอยคำตอบอยู่ข้าง ๆ ก็ลุ้นตื่นเต้นจะว่างไหม แหมมมม....แกเล่นจองล่วงหน้า 2 ชั่วโมงว่างก็บ้าแล้ว !!! แต่เหมือนฟ้าเป็นใจให้เราทุกคนปรากฏว่าเราจองได้ 4 ที่ เย้ !!!!! มีเรา อายาริ ฮารุกะ ทาคุยะ ไปๆๆๆ เก็บสตรอเบอร์รี่กันเถอะ !






การเดินทางจากเกียวโต เราเริ่มที่สถานี Sanjo ซึ่งใกล้กับบ้านอายาริ วันนี้ใช้ Keihan line





วันนี้เราออกจากบ้านกันแบบไม่ได้กินเบรคฟัสต์เพราะมันเช้ามาก (เก้าโมงไม่ถือว่าเช้า แต่เพราะเราตื่นสายมันเลยเช้ามากสำหรับเรา) เราอาศัยวิธีซื้อโอนิกิริ(ข้าวปั้นสามเหลี่ยม) ไปกินบนรถไฟ (อันนี้ต้องดูดี ๆ นะ เพราะรถไฟบางสายกินอาหารได้บางสายกินไม่ได้ ซึ่งสายนี้เราก็ไม่แน่ใจว่ากินได้ไหมแต่เพื่อนเราพากินเราก็กินตาม :P )
การเดินทางมาเก็บสตรอเบอร์รี่ที่นี่ค่อนข้างยากสำหรับเรา (ถ้ามาจากเกียวโต) เปลี่ยนสายรถไฟประมาณ 4 รอบได้ แล้วแต่ละสถานีก็งง ๆ นะ ยกตัวอย่างเช่น :: จากสถานี Tsuruhashi จะไป Onji ต้องเอาตั๋วรถไฟออก กับตั๋วรถไฟเข้าซ้อนกันแล้วสอดเข้าไปพร้อมกันเครื่องจะเก็บตัวบัตรออกไป และจะคืนบัตรอีกใบมาให้เรา ประมาณนี้คือถ้าเราไปคนเดียวก็คงคิดว่าแล้วจะออกทางไหน ทางเข้าออกคือทางเดียวกัน และด้วยความที่เป็นโลคัลเทรนมันเลยมีหลายสายในสถานีเดียวกัน ต้องดูดี ๆ ไม่งั้นอาจจะหลงไปที่อื่นได้สำหรับคนที่ไม่เคยมาค่ะ ณ จุดนี้พวกเราโชคดีมากที่ฮารุกะโอบ้าจังเคยมาเลยนำพวกเราไปได้อย่างดีต้องขอบคุณโอบ้าจังมาก ๆ นะคะ ถ้าไม่มีโอบ้าจังชีวิตพวกเราคงหลงทางกันมากกว่านี้ เพราะขนาดบักทัคจังเป็นคนโอซาก้าแท้ๆ ฮียังไม่รู้เลยง่ะว่ามีโดมปลูกสตรอเบอร์รี่แถวนี้ T A T  สมกับเป็นโอบ้าจังผู้รอบรู้จริงๆ







เติมพลังด้วยสตาร์บัคส์ 270 เยน อร่อยมากเจ้มจ้น หวานมัน






ฝนยังตกอยู่ตั้งแต่เมื่อคืนพวกเราเดินทางกันอย่างทุลักทุเลเพราะในมือมีถุงโน่นนี่เต็มไปหมด แต่พวกดิฉันจะไม่ยอมแพ้นะคะ อุตส่าห์ดั้นด้นมาจนได้ไปเก็บสตรอเบอร์รี่ฝนแค่นี้ไม่ทำให้ถอดใจจ๊ะ แต่มันตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ เล่นเอาถุงเท้าเปียกเบยยยย ...

พอถึงสถานี Onji เราต้องเดินไปอีกประมาณ 5-10 นาทีได้ (เราจำไม่ได้ว่าต้องออกทางไหนแต่ลองถามนายสถานีดูน่าจะรู้ค่ะ) ระหว่างทางเดินจะไม่มีบ้านคนจะเป็นถนนเล็ก ๆ พอให้รถสวนทางกันได้เท่านั้น แต่บริเวณนี้ก็จะเป็นเหมือนสถานที่ปลูกพืชผักอะไรหลาย ๆ อย่างเพราะเราจะเห็นโดมปลูกผักเต็มไปหมดเลย
และแล้วเราก็มาถึง Grand Berry !!!!!! อยากจะสวอนเลคแล้วม้วนหน้า 8 ตลบท่ามกลางสายฝน แม่มม มายากจั๊งงง !!





เราขึ้นที่ต้นสาย เวลานี้ไม่ใช่ Rush hour คนค่อนข้างน้อย








ฝนตกทั้งวันเลยยยย





หลังจากที่แจ้งกับทางเจ้าหน้าที่แล้วว่าเราจองไว้ ก็ถอดรองเท้าไว้ที่ด้านหน้าแล้วใส่รองเท้าที่ทางฟาร์มเตรียมไว้ให้เข้าไปด้านใน เค้าจะมีตะกร้าไว้ใส่ของให้ค่ะ ก็ถอดแจ๊กเก็ต กระเป๋าทุกอย่างวางไว้ในตะกร้าแล้วเดินตัวปลิวไปรับอุปกรณ์การกินได้เลยยยยย

ราคาของผู้ใหญ่ตอนนี้จะอยู่ที่ 1,600 เยน กินได้ 30 นาที ไม่ต้องกลัวว่าจะเกินเวลานะเพราะถ้าหมดเวลาเค้าจะตะโกนบอกเราเองว่ากรุ๊ปของคุณ ..... หมดเวลาแล้วนะ

ตอนไปจ่ายตังเค้าจะแจกอาวุธคือกรรไกร 1 อัน เพื่อตัดสตรอเบอร์รี่ และถุงพลาสติก 1 ใบเพื่อเก็บเศษซากอารยธรรมของเรานะฮ่ะ ระหว่างนั้นก็จะมีพนักงานบอกกฏ กติกา มารยาทในการกินสตรอเบอร์รี่ในโดมว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ในเวอร์ชั่นภาษาญี่ปุ่นฮ่ะ ย้ำนะ! ว่าภาษาญี่ปุ่นแต่อ่านรีวิวแล้วก็ไม่อยากที่จะเข้าใจนะ เราว่าที่นี่มีริวิวค่อนข้างเยอะ อาจจะเดินทางยากสักหน่อยแต่ด้วยความที่อยู่ในเมืองใหญ่ยังไงนักท่องเที่ยวก็ดั้นด้นมาจนได้แหละ ดูดิขนาดเรายังดั้นด้นมาเลย





ถึงแล้วววว !! Grand Berry ที่รักกกกก







เชิญกินได้ตามใจปรารถนา





สตรอเบอร์รี่ที่นี่จะมีหลายสายพันธุ์ทั้งเล็กและใหญ่ เราสามารถเก็บกินได้หมดทั้งที่ห้อยโตงเตงและที่นอนอยู่บนตะข่าย ก่อนเอาใส่ปากบอกเลยว่าตื่นเต้นมากกกกกก รสชาติ รสสัมผัสมันจะเป็นยังไงว่ะ พอใส่ปากเข้าไปเท่านั้นแหละมันละลายยยยยย ...... แทบไม่ต้องเคี้ยวเลย แล้วไม่ต้องเลือกด้วยนะว่าลูกไหนจะเปรี้ยวลูกไหนจะหวาน มันหวานทุกลูกอ่ะ ประเทศนี้อาหารทุกอย่างละลายในปากในอย่างน่าอัศจรรย์

กินธรรมดามันก็แลดูจะเป็นการกินสตรอเบอร์รี่ที่น่าเบื่อไปสักหน่อย เราเลยตั้งกฏมาว่างั้นมาแข่งกันดีกว่าว่าเราจะกินกันได้คนละกี่ลูก เมื่อตั้งกฏเช่นนี้มาแล้วมึงก็อย่ามาชวนกูคุยนะ กูจะกิน ฮ่าๆๆๆ พอหมดเวลามานับดูปรากฏว่าอีทัคจังได้ไป 60 ลูก เราได้ 49 อายาริ กับ ฮารุกะได้คนละ 46 โอ้ยยย กินเหมือนคนตายอดตายอยาก รู้สึกว่าตอนนี้น้ำเต็มท้องไปหมดเลย แล้วยิ่งอากาศหนาวฝนตกด้วยเดินหาห้องน้ำกันตลอดเวลา





ห้อยระโยงระยาง







ครั้งแรกของนางนางมีความสุข





ขอเล่าอารมณ์ตอนเข้าไปเก็บนิดนึง คือเราก็เห็นแหละว่ามีสตรอเบอร์รี่เต็มไปหมดอยู่ด้านหน้าเรา ซึ่งเราจะกินลูกไหนก็ได้ แต่มันเยอะขนาดนั้นเราก็เลือกตัดกันไม่ถูกจริง ๆ นะ อารมณ์รักพี่เสียดายน้อง มันแดงเถือกทั้งโดม แต่ก็ใช้เวลาคิดนานเลยว่าจะตัดลูกไหนดี เพราะมัวแต่คิดนี่แหละมันเลยทำให้กินได้แค่ 49 ลูกเท่านั้น :(( ถ้าไม่คิดตัดกินๆ คงชนะไปแย้วววว (((o(*゚▽゚*)o)))


อายาริเพิ่งเคยมาเก็บสตรอเบอร์รี่ครั้งแรกในชีวิตและนางตื่นเต้นมาก นางบอกว่าถ้าไม่ได้พาเรามานางก็ไม่คิดจะมาเอง  (เรื่องบางเรื่องที่คนไทยรู้เกี่ยวกับญี่ปุ่น แต่คนญี่ปุ่นที่ไม่รู้มันมีจริงๆ ค่ะยกตัวอย่างเพื่อนเราเองนี่แหละ) นางบอกว่าไม่เคยรู้เลยว่าสตรอเบอร์รี่ที่เก็บกินสดๆ มันจะอร่อยแบบนี้ปกติให้ซื้อกินในซุปเปอร์นางก็ไม่ค่อยซื้อกินนักหรอก คือบุคลิกอายาริไม่ใช่ผู้หญิงที่จะซื้อสตรอเบอร์รี่กินไงคะ ให้ซื้อเบียร์ง่ายกว่า





สักลูกไหมคะ ??



















สตรอเบอร์รี่ที่กำละชะตาขาด ตัดขั้วมันซะ !!!!





พอครบ 30 นาทีเจ้าหน้าที่ก็ตะโกนบอกเราว่าหมดเวลาเราก็เดินออกมาเก็บของออกจากตะกร้าเอาถุงขยะทิ้งในถังที่เตรียมไว้เลยค่ะ มีอ่างล่างมือเตรียมไว้ให้ด้วย เราเดินไปที่โดมอีกที่นึงซึ่งเป็นของ Grandberry เหมือนกันเพื่อจะซื้อใส่กล่องไปฝากเพื่อน เค้าขายกล่องละ 600 เยน อีพวกเราก็โรคจิตแกะออกมานับว่ามันมีกี่ลูก ฮ่าาาา จ่ายไป 1600 เยนกินมากสุด 60 ลูก คราวหน้าซื้อกินดีกว่า แต่จากการโหวตและลงความเห็นแล้วพบว่า 1600 เยน เราได้ซื้อความสดของสตรอเบอร์รี่ ได้ซื้อบรรยากาศแห่งความสุข และบริหารความสัมพันธ์ร่วมกันให้มันแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นแล้วเงิน 1600 เยนแลกกับการซื้อความสุขมันถือว่าถูกมากทีเดียว



อย่าได้คุยกันเดี๋ยวขัดจังหวะการกิน





เราเดินออกมาจับรถไฟที่สถานนีออนจิเพื่อที่จะไปที่สถานี Kitakagaya ไปถ่ายวีดีโอฉากสุดท้ายให้ทาโร่คุง เปลี่ยนสถานีประมาณ 2 ครั้งก็มาถึงและเราต้องเดินต่ออีกประมาณ 15 นาที ก็จะมาถึงโกดังที่ทาโร่คุงเช่าไว้




เห็นเล็ก ๆ แบบนี้หวานมาก ฟินนนนนน !!!







ส่วนนี่ก็ละลายในปากกันเลยทีเดียวพี่น้องเอ้ยยยย !!!!







ลูกใหญ่เท่าหน้าเลย





บรรยากาศถ่ายงานจะเป็นยังไงเดี๋ยวมาต่อในบล็อกหน้าค่ะ



To be continue .......







4/23/14

เจอป้าเจี๊ยบกับลุงแมท และเจอต้าร์ครั้งแรก







ป้าเจี๊ยบกับลุงแมทมาพักผ่อนที่ไทย(ตามปกติ) ป้าโทรมาหาเราตอนคืนวันศุกร์ตอนนั้นป้าอยู่กับพี่แอ๋ที่โคคาสุกี้อยากชวนเราไปเจอด้วย เราเดินทางอยู่ไม่ได้รับสายเลยทำให้พลาดไป เราโทรกลับหาป้าหลังจากที่ถึงบ้านแล้วแอบเสียใจเล็กน้อยเพราะก็อยากเจอพี่แอ๋ด้วยนะคะ >"<

ป้าโทรมาหาเราอีกครั้งคืนวันเสาร์ ป้านัดเจอกันเป็นวันอาทิตย์ป้านัดเจอต้าร์ด้วยป้าเจอกับต้าร์เป็นครั้งแรก เราก็เจอกับต้าร์เป็นครั้งแรกเช่นกัน
ป้าให้เลือกร้านระหว่างโคคาสุกี้ที่เซ็นทรัลเวิร์ลกับร้านอาหารอิตาเลี่ยนชื่อร้านปันปันที่สุขุมวิท 33 เราเลือกร้านปันปันเพราะเห็นว่าเมื่อวันศุกร์ป้ากินสุกี้มาแล้วกลัวป้าเบื่อเปลี่ยนบ้างเนอะ ^^,













นัดเจอกันบ่ายโมงตรงเรามาถึงเลทประมาณ 10 นาทีทุกคนนั่งรออยู่แล้ว >"< แหะๆๆ ขอโทษค่ะ
ร้าน Pan Pan Italian Restaurant อยู่ซอย สุขุมวิท 33 เดินเข้ามาในซอยประมาณ 100 เมตรร้านอยู่ทางด้านขวามือ ป้ายร้านค่อนข้างใหญ่ค่ะหาไม่ยาก ป้าบอกว่าร้านนี้เป็นร้านค่อนข้างเก่าเปิดมาหลายสิบปีเมื่อก่อนอยู่อีกที่นึงร้านค่อนข้างแคบตอนนี้มาเปิดที่สุขุมวิทร้านกว้างขึ้นตกแต่งดูสบายตาและร่มรื่นมาก


นั่งคุยถามสารทุกข์สุกดิบกันสักพักก็ได้เวลาสั่งอาหารแล้ว พวกเรายกให้ป้าเป็นคนสั่งเพราะร้านนี้เป็นร้านโปรดของป้า เจ้าถิ่นย่อมรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้มาเยือนใช่ไหมคะ














ป้าสั่งออร์เดิร์ฟมาเป็นสลัดทูน่า สลัดผักรวมอะไรซักอย่างราดด้วยน้ำสลัดบัลซามิค และผักโขมอบชีส ออร์เดิร์ฟทุกจานมาเป็นจานใหญ่มาก กินกัน 4 คนไม่หมดค่ะ แต่ด้วยความที่มันอร่อยมากเราก็ฟาดเรียบ ต้าร์บอกว่าต้าร์ไม่แน่ใจว่าจะกินหมดไหมเพราะปกติต้าร์เป็นคนกินน้อยอยู่แล้ว ฮ่าๆๆๆ เราบอกต้าร์ว่าไม่เป็นไรจ๊ะ เดี๋ยวเราจัดการให้เรื่องนี้ไม่มีปัญหา และเราก็กินผักโขมอบชีสจนหมดดดดด T A T; เจอกันครั้งแรกไม่มีสงวนท่าที แหมมมมมก็มันอร่อยมากเลยนะก๊ะขอบอก ขอบอก






ออเดิร์ฟยังไม่ทันจางหาย จานหลักก็มาาาาา จานหลักก็ใหญ่ไม่แพ้ออร์เดิร์ฟเลยนะครับบบบบบ แหม่ๆๆๆๆ จะสังหารกันด้วยโรคอ้วนหรือยังไงละนี่ จานหลักก็มีหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์อบซอสมะเขือเทศเจ้มจ้นมว๊ากกกกก อันที่สองเป็นสปาเกตตี้คาโบนาร่า ป้าแนะนำเมนูนี้เพราะเป็นเมนูโปรดลุงแมท ป้าถามว่าอยากลองไหม แฮะๆๆ ก็ได้ค่ะ (ไม่มีการปฏิเสธนะย่ะหล่อนนนน!!! ) และสุดท้ายท้ายสุดของอลังการจานหลักคือพิซซ่าสารพัดหน้า (หมายถึง ป้าสั่งกับพนักงานไปว่าใส่หน้ามาเยอะ ๆ เลยค่ะ ใส่อะไรมาก็ได้ให้มันอร่อยมาก ๆ ก็พอฮ่าๆๆๆ)








นั่งกินไปคุยกันไปเรื่อย ๆ ป้าเจี๊ยบดูแข็งแรงขึ้นหลังจากที่แพ้ยาครั้งที่แล้ว มีผลทำให้ผมร่วงหมดป้าต้องใส่วิก มาครั้งนี้ป้าแข็งแรงขึ้นหน้าตาสดใสขึ้น และป้าไม่ต้องใส่วิกแล้วเพราะผมป้าขึ้นมาแล้วค่ะ ป้าบอกว่าผมขึ้นหนากว่าตอนที่ยังไม่ร่วงซะอีกแถมขนตาก็ขึ้นมาแบบดกดำเลย ป้าแอบแซวเล่น ๆ ว่าถ้าอยากได้ผมหนา ๆ แนะนำให้ลองไปทำคีโมนะ
ส่วนต้าร์ก็เป็นคนที่เหมือนในไดเลยนะ ในไดต้าร์อ่านแล้วเราจะรู้สึกว่าต้าร์เป็นคนขี้อายขี้เกรงใจ ซึ่งตัวจริง ๆ ของต้าร์ก็ดูเป็นคนขี้อายเหมือนในไดเลย (ทุกคนจะกลายป็นคนขี้อายทันทีถ้ามาเทียบกับเรา) แต่ไม่แน่นะ รู้จักกันไปนาน ๆ นางอาจจะเป็นคนขี้เม้าท์ก็ได้ค่ะ ฮ่าาาาาาา (ฉันแอบเห็นรัศมีบางอย่างงงงงง)









กินของคาวเสร็จก็ตามด้วยของหวานล้างปากกันหน่อย ป้าแนะนำเค้กรัมของร้านป้าแอบกระซิบบอกว่าป้ากินเหล้าแบบโจ่งแจ้งไม่ได้ก็เลยต้องขอแอลกอร์ฮอลจากที่ผสมในเค้กก็ยังดี >"< เราสั่งเค้กมาคนละชิ้น นั่งเม้าท์กันสักพัก ก็ได้เวลาที่ป้าต้องกลับแล้ว (ซึ่งจริง ๆ เรานั่งมาตั้งแต่บ่ายโมงจน 5 โมงเย็นแล้วหล่ะ) เพราะป้าต้องกลับพรุ่งนี้ไฟล์ทเช้า ยังไม่ได้แพ็คกระเป๋าและมีสิ่งที่ต้องทำอีกหลายอย่างในวันนี้ด้วย เราเลยต้องปล่อยตัวป้ากับลุงกลับไปแต่โดยดี T A T














ต้องขอบคุณป้าเจี๊ยบกับลุงมากค่ะ ที่ยังคิดถึงกันและมาเจอกันทุกรอบเลย ขอให้ป้ามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงมากขึ้นทุกวัน ๆ นะคะ เจอกันอีกครั้งเดือนมิถุนายนค่ะ ^^,
ขอบคุณต้าที่มาเจอกันด้วยนะคะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ^^,










4/18/14

ทริปเยี่ยมญาติ Japan 2014 : Modern Cafe' Kyoto สุดท้ายนี้ที่เกียวโต









บล็อกนี้เป็นหน้าสุดท้ายสำหรับทริปญี่ปุ่นแล้ว นับว่าเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่คุ้มมาก ๆ เรียกว่าใช้ทุกวินาทีชีวิตได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุดกันเลยทีเดียว  ไหน ๆ ก็ญี่ปุ่นหน้าสุดท้ายแล้วอ่ะนะ ก็จะกลับมาเข้าสู่ชีวิตปกติกันแล้วอ่ะนะ ขอขายของกันหน่อยละกันนน คลิ๊กสิ ! คลิ๊ก !
v
v
v
http://www.youtube.com/watch?v=IeYs_nlNf64 v






จากหน้าที่แล้วเราไปกินไก่ย่างกันที่โอซาก้า เราออกจากร้านไก่ย่างเกือบ ๆ รถไฟเที่ยวสุดท้าย เราจับ Keihan กลับมาเหมือนเมื่อเช้ามาลงที่สถานี Sanjo เหมือนเดิม และเราก็เริ่มงอแง เรายังไม่อยากกลับบ้านเลยอยากใช้เวลาสุดท้ายให้นานที่สุด (ซึ่งตอนนี้ก็เที่ยงคืนแล้วหล่ะ) อายาริเลยเสนอว่างั้นเราไปนั่งคาเฟ่ชิล ๆ กันเถอะ แถวนี้มีร้านกาแฟอยู่ร้านนึงเปิดถึงเที่ยงคืน (ซึ่งเอาจริง ๆ ก็ปิดดึกกว่านั้นนะ)






รถไฟทอมัสที่เราไม่ได้นั่ง 






นอกจากดึงดูดเด็กได้แล้ว ยังดูดป้าอย่างเราได้ด้วยค่ะ






Modern's cafe, Modern menu






อายาริพาเรามาที่ตึกตึกนึง (เราจำชื่อตึกไม่ได้ ซึ่งอย่าคาดหวังว่ามันคือรีวิวนะ อ่านเอามันส์ก็พอ) กดลิฟท์ขึ้นมาที่ชั้น 5 ออกมาก็จะเจอร้านกาแฟเก๋ ๆ อยู่ร้านหนึ่ง ประมาณเที่ยงคืนแล้วมีลูกค้าอยู่ประมาณ 2-3 โต๊ะ มีพนักงานอยู่ 2 คน คนนึงรับออร์เดอร์และคนนึงทำอาหาร
ที่ร้านนี้ก็จะมีอาหาร เค้า กาแฟ เบียร์ ฯลฯ เรียกว่าครอบคลุมทุกอย่างถ้าตกลงกันไม่ได้ว่าจะกินอะไรจะกินของคาวหรือของหวานดี แนะนำให้มาร้านนี้นะคะ (แกจะไปแนะนำใครรรร ขนาดชื่อร้านแกยังจำไม่ได้เล้ยยยยย!!!)





ยัยโอบ้าจังจะหน้าแรงเกินฉันไปแล้วนะย่ะ แหมมมมม!!!!












อายาริจัง & ทัคจัง








พ่อค้าแซ่บบบบบบบบบบ เว่อร์ !!!!!!!!!






ขอแอบเม้าท์พ่อค้าแซ่บกันนิดนึงค่ะ จากการพิสูจน์ด้วยสายตาของชะนีกร้านโลกอย่างเราแล้วคอนเฟิร์มว่าไม่เกย์ค่ะ ถามว่าจากรูปแซ่บแค่ไหน คือก็แซ่บแบบผู้ใหญ่อ่ะ สูงยาวเข่าดีและมีสไตล์ วัยรุ่นอาจจะไม่ถูกใจแต่ป้าชอบ เครนะ !
ฮีเดินมาถึงที่โต๊ะ ก็นั่งย่อตัวกับพื้นรับออร์เลยเลย (คือแค่พี่เดินมาเฉย ๆ ก็โคตรหล่อแล้วไงคะ แค่นี้ข้าพเจ้าก็กรี๊ดแล้ว แต่นี่มานั่งรับออร์เดอร์คือพี่จะหล่อเอาโล่เลยไหมล่ะคะ) พี่ทำสาวโสดเพียงหนึ่งคนตรงนี้ละลายนะจ๊ะ พี่รู้ไหมมมมม ????  ตอแหลยกโทรศัพท์ขึ้นมาทำเป็นถ่ายรูปร้านเก๋ ๆ กูกดหน้าพี่แซ่บรัวววววววววว ค๊าาาาา !!! พอพี่แซ่บเดินไปอายาริแอบกระซิบว่า ฉันคิดว่าเค้ารู้ว่าเธอแอบถ่ายรูปเค้า เราก็ตอบไปว่าฉันก็รู้ว่าเค้ารู้ ฮ่าาาาาา หลังจากนั้นพี่แซ่บไม่เดินมาอีกเลยจนกระทั้งตอนคิดเงินจ้าาาาา....
ป.ล.แรดเรี่ยราดนะกูนี่ !






ออร์เดิร์ฟที่อย่าคาดหวังความอร่อย







ตะกร้าใส่ของแบบโมเดิร์น






ตกแต่งแบบโมเดิร์นสไตล์






พอพี่แซ่บรับออร์เดอร์ไปแล้วสักพักนึงก็ถือถ้วยออร์เดิร์ฟมาเสิร์ฟ ออร์เดิร์ฟถ้วยนี้ฟรีนะจ๊ะเป็นบิสกิต คุ้กกี้ ต่าง ๆ  นั่งแทะนั่งกินได้ตามใจชอบ จะมาจุ่มกาแฟกินก็ได้ ส่วนรสชาติก็พอกินได้แบบของฟรีทั่วไป >"< จงอย่าคาดหวังว่าญี่ปุ่นมันจะอร่อยทุกอย่างนะก๊ะ T A T

สักพักกาแฟก็มาเสิร์ฟ ผู้หญิง 3 คนสั่งร้อน ส่วนผู้ชายคนเดียวสั่งลาเต้เย็น รสชาติกาแฟก็โอเคนะใช้ได้ประมาณกลาง ๆ เราว่าแค่บรรยากาศดี ร้านสวย พนักงานงานแซ่บ เอ้ยยย !!! บริการดี รสชาติมันก็จะดีขึ้นตามไปด้วย จริง ๆ นะ





ตกแต่งแบบโมเดิร์นสไตล์







ปูนเปลือย ๆ บนเพดานนับว่าเป็นโมเดิร์นอีกรูปแบบหนึ่ง






นั่งเม้าท์มอยกันอะไรกันไปแอบสังเกตุหน้าเพื่อน ๆ ว่าง่วงหงาวหาวนอนกันมาก ๆ เลยชวนกลับดีกว่าเกรงใจด้วย ออกจากร้านประมาณตีหนึ่งได้ ก่อนกลับอายาริพาไปเดินพาไปเดินดูตรงริมหน้าต่างมีเก้าอี้ตั้งไว้ด้านนอกด้วย วันไหนที่หายหนาวแล้วอากาศดี ๆ ก็นั่งริมระเบียงชิล ๆ ได้ ระหว่างที่ยืนมองริมแม่น้ำอยู่นั้น หิมะตกจ้าาาาาา !!! แต่ไม่ได้ตกหนักอะไร แค่ตกพอให้กระเหรี่ยงได้กรี๊ดกร๊าดบ้างอะไรบ้าง
มารอบนี้ไม่เจอหิมะเลยยยยยย ตอนไปคานาซาว่าก็หวังว่าจะได้เห็นปรากฏว่าไม่มีซะงั้น เพื่อนเราบอกว่าปีนี้คานาซาว่าหิมะน้อยมากกว่าทุกปีอาจจะเป็นเพราะโดนพายุหอบไปตกที่โตเกียวหมดแล้ว ^^< แหมมมม ก็คิดได้นะคะ (โตเกียวเจอพายุหิมะเมื่อกุมภาพันธ์)






กาแฟแซ่บ (เพราะพ่อค้าแซ่บ)








วิวจากร้านที่มองเห็นแม่ คาโมกาว่า ริเวอร์ ถ้าอากาศไม่หนาว เราสามารถนั่งชิลริมระเบียงได้ค่ะ
เห็นสายสีขาวในรูปไหม??  หิมะกำลังตกหล่ะ






ใช้เวลาเดินจากตรงนี้ไปบ้านอายาริประมาณ 10 นาที ทุกคนจอดจักรยานไว้ที่บ้านอายาริ ถามว่าทำไมทุกคนถึงมาจอดจักรยานไว้ที่บ้านอายาริ ??? เพราะบ้านอายาริใกล้สถานีใหญ่ ๆ อย่าง Sanjo และสถานีต้นสายอย่าง Hankyu Kawaramachi และด้วยความที่บ้านอายาริมีพื้นที่มากพอสมควร จึงทำบริการพื้นที่จอดรถ (จอดได้ประมาณสิบกว่าคัน) เราว่านับเป็นรายได้ส่วนหนึ่งที่ดีมาก ๆ สำหรับญี่ปุ่นค่ะ เพราะค่าเช่าที่จอดรถแพงมากจริง ๆ ทำให้เพื่อน ๆ พลอยได้อานิสงค์การจอดจักรยานไปด้วย นัดกันเอาจักรยานมาจอดบ้านอายาริแล้วเดินไปที่สถานีพร้อมกัน

ถึงบ้านแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน ร่ำลากันพอให้ได้ร้องห่มร้องไห้ดราม่ากันสักเล็กน้อย จัดการตัวเองเรียบร้อยปล่อยอายาริไปนอนส่วนเรานั่งจัดกระเป๋าต่อ (เพราะมีงอกออกมา 3 กระเป๋าบ้าไปแล้วเหอะ) ไฟล์ทขากลับเรา 11.30 น. ต้องถึงที่สนามบินเพื่อเช็คอินประมาณ 9 โมง เราไม่รู้ว่าคนจะต่อคิวเช็คอินเยอะแค่ไหนดังนั้นเผื่อเวลาจะดีกว่า เราออกจากบ้านเพื่อให้ทันรถไฟรอบก่อน 7 โมงเช้า

ตอนเช้าม่าม้าขับรถมาส่งที่ Hankyu Kawaramachi ร่ำลากันร้องห่มร้องไห้อีกแล้วววว เกลียดบรรยากาศแบบนี้ !!!! ม่าม้าจอดรถข้างทางนานไม่ได้เดี๋ยวตำรวจมาต้องรีบขับออกไป อายาริพาเราไปซื้อตั๋วเพื่อไปที่สนามบินเราไม่นั่งชินคันเซ็นเพราะอย่างที่บอกว่าทริปนี้จนยิ่งนัก เรายอมตื่นเช้าและนั่งหลายต่อถ้าเรามาคนเดียวคงยอมควักกระเป๋านั่งชิงคันเซ็นหละ เพราะไม่อยากเปลี่ยนสายรถไฟกลัวหลง T__T อายาริมาด้วยอุ่นใจนั่งอะไรก็ได้ (แต่ราคาก็ไม่ต่างกันมากหรอกค่ะประมาณเกือบ 2000 เยนเอ๊งงง!!!) ตอนที่กำลังจะหยอดเงินซื้อตั๋วนั้นอายาริบอกว่าไม่ต้องจ่ายนะ ม่าม้าให้เงินมาค่าตั๋วไปสนามบินของเธอกับค่าตั๋วไปกลับของฉันด้วย ม่าม้าบอกว่านี่เป็นสิ่งสุดท้ายในญี่ปุ่นที่สามารถจะทำให้ปูจังได้ อีนี่ยืนน้ำตาไหลลลลลล ปลื้มปริ่มมมมม T_________T ขอบคุณนะคะม่าม้าาาาาา







รวม ๆ ก่อนจาก






เรามาถึงสนามบินประมาณ 8 โมงกว่าๆ และไปต่อแถวเช็คอินโชคดีคนน้อยมากๆ ทำให้เราเช็คอินเสร็จภายใน 5 นาที และเรามีเวลาไปนั่งกินอาหารเช้ากับอายาริจังก่อนด้วย และแน่นอนนี่ก็เกิดดราม่าก่อนเข้าเกทอีกแล้วววววว (อยากตะโกนร้อยครั้งว่าเกลียดการร่ำลาาาาาาาา)

ปิดทริปนี้ไปอย่างสวยงาม เป็นทริปที่มีความสุข สนุก และโชคดีที่สุด ทริปนี้เกิดเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่จะเรียกว่าทริปแห่งความโชคดีก็ได้ไม่ว่าเราจะวางแผนอะไรในทริปนี้เรามักจะทำสำเร็จตามแผนทุกอย่าง หรือหากว่ามีอะไรที่ผิดพลาดไม่ตรงตามแผนแต่เราจะได้สิ่งที่สำรองที่ดีสุด ๆ ทุกครั้ง เป็นทริปที่เหมือนจะแน่นเอี๊ยด คิวเต็ม แต่เราก็สามารถทำตามแพลนได้อย่างลงตัวไม่เหนื่อย ไม่งอแง ไม่งี่เง่า เพื่อนตามใจจนแทบจะเสียผู้เสียคน ฮ่าๆๆๆ การเดินทางเที่ยวคนเดียวมันก็ดีอย่างนี้นี่เองนะ ทริปหน้า
(ถ้ามีตัง) ก็ขอบุกเดี่ยวอีกละกัน :))



จบทริปเจแปนแล้ว บล็อกหน้าจะกลับเข้าสู่ชีวิตปกติแล้วค่ะ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านกันนะคะ












4/12/14

ทริปเยี่ยมญาติ Japan 2014 : 焼き鳥食べましょう!กินไก่ย่างกันเถอะ !







ก่อนจะพูดพร่ำทำเพลงสิ่งใดขอขายของก่อนเยยยยยยยย

ดูกันหรือยังหล่ะ http://www.youtube.com/watch?v=IeYs_nlNf64&sns=fb






บล็อกหน้านี้ขอไม่สาธยาย บรรยายสิ่งใดมาก ให้รูปเล่าเรื่องแล้วกัน มันแค่เรื่องไก่ย่างเองง่ะ !!!




เพื่อน ๆ 






เพื่อน ๆ ๆ 






สักหน่อยจะได้กินไก่อย่างด้วยความเอร็ดอร่อยมากยิ่งขึ้น






ออร์เดิร์ฟเบา ๆ ก่อนจัดเต็ม







พีชผสมแอลกอร์ฮอล กลิ่นเหมือนมะม่วงสุก แต่อร่อยมว๊ากกก







ดึงไก่ออกจากไม้แล้วเอาไม้มาใส่กระบอกนี้ไว้ นำไปรีไซเคิลนะจ๊ะ







มะเขือม่วงดอง ที่สภาพเหมือนปลาดุกย่าง _"_!







ไข่ต้ม กินกับเบียร์ !?!?! มีอะไรที่กินอย่างเข้ากันได้แปลก ๆ อีกมากมาย
สำหรับประเทศนี้







อกไก่ย่างบ้านเราจะไม้ละ 20 บ้านนี้เมืองนี้ไม้ละร้อยนะจ๊ะ 







หนังไก่ย่าง อยากได้ข้าวเหนียวสัก 5 บาท แหมมมม !!!






กึ๋นไก่ ถ้าเพื่อนมาไทยจะซื้อให้กิน 100 ไม้เลยเอ้า !!!






ตับไก่ ขอพูดคำเดิมเลยว่าขอข้าวเหนียว 5 บาท






ตับไก่เวอร์ชั่นธรรมดาไม่มีต้นหอมโรยหน้า






ตรูดดดดดดด ไก่ !!!! ไม้ละร้อยแจ้ !!!!!






มันบดทอดข้างในชีสสสสเยิ้มมมมม !!!!!






อันนี้ชีสเยิ้มมมมม อยู่ด้านนอก






อกไก่ฉบับราดมายองเนส 





ออกจากร้านไก่ย่างตอนห้าทุ่มครึ่งเรายังไม่กลับบ้านกัน เดี๋ยวไปต่อที่ร้านกาแฟโมเดิร์น ๆ
เป็นญี่ปุ่นหน้าสุดท้ายแล้ว จะกลับเข้าสู่ชีวิตปกติแล้วนะ