12/31/14

Japan Autumn Trip 2014 : Ghibli museum ครั้งที่สอง




กะว่าหน้านี้จะเป็นหน้าสุดท้ายที่เขียนทริปญี่ปุ่นหล่ะ ไม่ใช่อะไรนะคะ 

คือเริ่มขี้เกียจแล้ว เพราะว่ากว่าเราจะขุนตัวเองให้อัพแต่ละหน้าได้นี่เป็นหลายสิบวันนะ 

แล้วอีกอย่างส่วนมากก็ไปมาเกือบหมดแล้ว

อัพก็จะซ้ำ ๆ กับหน้าก่อน ๆ อย่างสตูดิโอจิบลีนี่ก็ไปมาแล้วเหมือนกันค่ะ

แต่ครั้งที่แล้วไปกับเพื่อนไง ครั้งนี้ไปกับปู้จายยยยยย ฮ่าๆๆๆๆ 








ก่อนไปญี่ปุ่นผช.ก็จะไลน์มาถามว่าอยากไปไหนเป็นพิเศษไหมเค้าจะได้พาไป 

เราก็เลยบอกว่าเราอยากไปจิบลีมิวเซียมนะ แต่เคยไปมาแล้ว นางก็ถามว่าแล้วจะไปอีกทำไม

ซึ่งตัวนางไม่เคยไปค่ะ นางไม่เคยรู้จักว่าจิบลิคืออะไร เราเลยบอกไปว่าเรารักการ์ตูนค่ายนี้มาก กกกก

เราก็เลยอยากให้คนที่เรารักเรียนรู้ในสิ่งที่เรารักเช่นกัน (สวยป่ะล่าาาาาา)

วันต่อมานางไปซื้อตั๋วที่ Lawson เลยจ้าาา

สรุปว่าก็ไปกันสองคนฟรุ้งฟริ้งมุ้งมิ้งนะคะ ฮ่าๆๆๆ













หลาย ๆ รีวิวคงเขียนเกี่ยวกับสตูดิโอจิบลีไว้แล้วเนอะ ซึ่งเราเองก็เคยเขียนไว้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว

http://littlecrab.diaryclub.com/20110902/Japan-winter-10-Studio-Ghibli-%B4%D4%B9%E1%B4%B9%A4%C7%D2%C1%BD%D1%B9%CA%D3%CB%C3%D1%BA%BC%D9%E9%E3%CB%AD%E8%CB%D1%C7%E3%A8%E0%B4%E7%A1

วันนี้เรามาเม้าท์ผช.ดีกว่าเนอะ 

คืองี้ ด้วยความที่นางไม่เคยดูการ์ตูนของจิบลิ และไม่เคยรู้จักอะไรเกี่ยวกับที่นี่เลย

ก่อนไปนางก็คอยไซโคเราว่าเสียเวลานะ ไปดูการ์ตูน ทำตัวเป็นเด็ก ไร้สาระ บลา ๆ ๆ ๆ 

(แต่นางก็พาไปนะ แต่ขอให้ได้บ่นไง) จนเข้าไปที่มิวเซียมนางตื่นเต้นกว่ากูอีกคร๊าาาา !!

พอเห็นอะไรเก๋ ๆ ก็จะแบบ อันนี้เจ๋งอ่ะ เฮ้ยย! อยากได้ไปไว้ที่บ้านอะไรแบบนี้ โดดดึ๋ง ๆ เป็นเด็กเลย

แหมมมม พ่อคู๊ณณณณ เห็นพ่อมีฟามสุขฉันก็ดีใจจ๊ะ .......













ขอเม้าท์นางอีกเรื่องจ๊ะ 

คือเราก็พานางไปที่ช้อปของมิวเซียมไปซื้อของที่ระลึก  ซึ่งคนก็เข้าไปซื้อกันมหาศาลล้านแปด

ซึ่งคนที่เข้ามาซื้อของก็จะเป็นแฟนคลับเนอะ คนที่มาที่มิวเซียมนี่ก็จะรู้จักจิบลีอยู่แล้ว

คิดว่าคงมีแค่นังผช.คนเดียวที่ไม่รู้เหนือ ใต้ ออก ตก อะไรกับคนอื่นเค้า  

และก่อนที่จะมาเราก็บอกนางว่าโตโตโร่เป็นโลโก้ของที่นี่นะ 

และในระหว่างที่เราเลือกของที่ระลึกอยู่นั้น นังผช.ก็ตะโกนเสียงดังมาว่า "ไหน !! ตัวไหนโตโตโร่"

แล้วทุกคนหันขวับไปที่นางด้วยสายตาประมาณว่า นี่มึงไม่รู้จักโตโตโร่จริงๆ เหรอออ???

มึงไปอยู่โลกไหนมา ??? แล้วมึงมาอยู่ที่นี่ได้ไง ??? 

คือนางคงไม่รู้ตัวค่ะว่าโดนมองอยู่ แต่เรานี่แทบแทรกแผ่นดินเลย ฮ่าๆๆ 














หลังจากที่โชว์บัตรทางเข้าแล้ว เราจะได้ตั๋วสำหรับชมการ์ตูนสั้น 15 นาทีคนละใบ

ซึ่งการ์ตูนก็จะเปิดวนทั้งวัน ซึ่งเรื่องที่เราได้ดูเป็นขนมปังแมน (ไม่ใช่อังปังแมนนะ) 

ตอนแรกนางถามเราว่าจะดูจริง ๆ เหรอ เสียเวลานะ รีบดูอย่างอื่นเถอะจะได้รีบกลับ (นัดเพื่อนไว้)

เราก็แบบ แหมมม มึงนี่มันมารความสุขจริง ๆ เลย ตรูจะดู ! และเอ็งต้องดูด้วย ฮ่าๆๆๆ

ปรากฏว่าเข้าไปหนังฉายไปประมาณ 5 นาที โว๊ะ!! อีนี่ขำคิก ๆๆ เป็นระยะ ๆ หันหน้าไปมอง

โอ้ยยย มีอมยิ้ม ยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ แหมมม ว่าตรูจังว่าไร้สาระ ฮ่าาาา

เป็นไงหล่ะ เจอมนต์จิบลีเข้าแล้ว รักเลยใช่ป่ะล่าาาาา

นี่นางไลน์มาบอกว่าเธอๆ ๆ เธอหาซื้อการ์ตูนของจิบลีง่ายป่าว ซื้อมาให้เค้าดูบ้างดิ 

ในยูทูปเค้าหาไม่เจอ ฮ่าๆๆๆ (กำมือทุบอกด้วยความสะใจ) 





















ดูทุกอย่างด้านในเสร็จแล้ว ก็เดินขึ้นไปบนดาดฟ้าของตึกจะมีหุ่นยนต์ตัวใหญ่ (เรื่องลาพิวต้า) 

ยืนอยู่ แล้วคนก็ต่อคิวค่อนข้างยาวค่ะ เพื่อที่จะถ่ายรูปคู่กับหุ่นยนต์ ในระหว่างที่เข้าแถวอยู่นั้นนนน

นางก็สะกิด เธอๆๆ เดี๋ยวเราให้คนข้างหลังเราถ่ายรูปให้ดีไหม เราถ่ายคู่กับหุ่นยนต์ด้วยเนอะ

เราก็กวนตีน ถามไป อ้าว !! เธอจะถ่ายด้วยเหรอ นึกว่าให้ฉันถ่ายคนเดียวแล้วเธอเป็นตากล้อง

ผช.ทำตาเขียวใส่ ถ่ายสิ ไหน ๆ ก็มาถึงที่นี่แล้ว 

ถถถถถ !!!! พ่อคู๊ณณณณ ปากแข็งจริงมึงนี่ และแล้วนางก็ได้รูปถ่ายกับหุ่นยนต์สมใจ









ออกจากสตูดิโอจิบลีประมาณบ่าย 3 ไปหาอายาริที่สถานีอูเอโนะ เพื่อจะไปบ้านอัตจัง

วันนี้นัดเพื่อน ๆ ไว้ค่ะ จะพาผช.ไปให้เพื่อน ๆ สกรีน ๆ ปรากฏโลกกลมมากกกกก 

คือครูภาษาญี่ปุ่นคนแรกในชีวิตของผช.เป็นเพื่อนกับอิคุระซัง (สามีอัตจัง) หลังจากนั้น

การคุยก็โฟลว์มากค่ะ ไม่ต้องแนะนำอะไรกันมากเลย เป็นการเจอกันครั้งแรก

ที่คุยกันราบรื่นมาก สนุกสนาน เฮฮาปาจิงโกะ อิ่มหมีพีมัน 






ออกจากบ้านอัตจังประมาณ 5 ทุ่ม จับรถไฟไปโยโกฮาม่าถึงประมาณเกือบ ๆ เที่ยงคืน เรานี่เมาเละ

เราถามผช.ว่าทำไมไม่เห็นกินเบียร์เลย นางบอกถ้าฉันเมาแล้วใครจะแบกเธอกลับห๊ะ !! 

เอออออ จริงของมันว่ะ ดีมากไอ้น้อง ฮ่าๆๆๆ จงทำดีต่อไปเดี๋ยวพี่กินแทน



พรุ่งนี้นัดเจออายาริอีกรอบก่อนกลับไทย








12/23/14

Japan Autumn Trip 2014 : เปรี้ยวครึ่งวันที่ ODAIBA



เมื่อคืนเราพักที่โรงแรม Sotetsu fresa inn Tokyo สาขา Toyocho ซึ่งแม่งโคตรนอกเมือง ฮ่าๆๆ
ร้านเหล้า เอ้ยย!! ร้านข้าวหายากมากกก (หายากจนต้องไปกินเหล้าแทนเลยนะดูสิ) 
เราจะบอกว่าช่วงที่เราไป (21-26 พ.ย.) โรงแรมเต็มเกือบหมดเลยค่ะ แล้วนี่ได้เป็น Business hotel
ห้องเล็กมากกกกก คืนละหมื่นเยน และไม่มีอาหารเช้า ตายแพร่บบบบ  เอ้าาไม่เป็นไร
เอาความสะดวกเข้าว่าจะได้ไม่ต้องเดินทางไปกลับ โยโก-โตเกียวกันทุกวันมันเหนื่อยจะตื่นนะ

เราตื่น 9 โมงเช้าเพราะต้องเช็คเอ้าท์ 10 โมง (อันนี้เป็นสแตนดาร์ดของโรงแรมญี่ปุ่นหรือเปล่าค่ะ
ที่ต้องเช็คเอ้าท์10โมง เช้าเกินไปนะ) แล้วก็เดินไปสถานี Toyocho ซึ่งใกล้โรงแรมมาก 
แล้วก็ต่อเปลี่ยนสถานีอีกประมาณสองครั้งก็จะมาถึงสถานี Shinbashi มาต่อสาย Yurikamome
(ซึ่งสัญลักษณ์ของรถไฟสายนี้จะเป็นรูปนกค่ะ มองเผิน ๆ จะเป็นไอศครีมเอเต้ ฮ่าๆๆ) 
และรถไฟสายนี้เป็นรถไฟที่ไม่มีคนขับค่ะ ซึ่งถ้าอยากเห็นวิวแนะนำให้ไปที่ตู้ด้านหน้าสุด 
แต่ต้องตบตีกับกับบรรดาเด็กๆ ที่อยากเป็นคนขับรถไฟให้ได้ด้วยนะ













รถไฟขับขึ้นสะพานสายรุ้ง (Rainbow bridge) ซึ่งยาวและมองกลับไปข้างหลังที่รถไฟผ่านมาแล้ว
มันสวยมากค่ะ คิดว่าตอนกลางคืนน่าจะสวยและโรแมนติกกว่านี้ เพราะบนสะพานจะเปิดไฟด้วย

เรามาถึงสถานีโอไดบะกันสัก 10 โมงครึ่ง กินอาหารเช้าง่าย ๆ แซนด์วิชกับกาแฟและเดินต่อ
โอไดบะเป็นเกาะเล็ก ๆ มีห้างสรรพสินค้า ติดทะเล (เรียกทะเลหรือเปล่านะ) และดูผู้คนน้อยนิด
สงบสุข (ถ้าไม่ติดว่ามีคนมาเที่ยวเยอะ) และค่อนข้างทันสมัยหรูหราไฮโซ 
และจะบอกว่าวันนี้ฟ้าใสมาก แอบร้อนด้วยหน่อย ๆ เราใส่เสื้อเชิ๊ตตัวเดียวเอาอยู่ล่ะ 
ตอนแรกที่ออกจากโรงแรมนี่ห่มมาเป็นหมีเลยนะ พอถึงโอไดบะถอดออกแทบไม่ทัน

และเป้าหมายของเราในวันนี้มีอย่างเดียวค่ะคือ กันดั้ม ฮ่าาา เมืองเค้าตั้งใหญ่ที่เที่ยวเค้าตั้งเยอะ
แต่มึงจะมาดูอย่างเดียวมึงจะถ่อมาทำไมมมม!!! มึงเปิดยูทูปดูอยู่บ้านไหมมมม !!! 














ซึ่งบอกกันตรง ๆ ตรงนี้เลยว่านอกจากกันดั้มแล้วเราไม่รู้เลยว่าโอไดบะมีอะไรบ้าง
ดูกันดั้มเสร็จแล้วเดินไปรอบ ๆ พบว่ามีหาดทรายที่มองเห็นสะพานสายรุ้ง บรรยากาศดีเว่อร์
วันนี้มีแข่งวอลเลย์บอลชายหาดด้วย คือแต่งตัวกันได้วอลเล่ย์บอลชายหาดมาก
เห็นแล้วหนาวแทน ฮ่าๆๆๆ 

หลังจากที่พบว่ามีหาดทรายที่สุดแสนจะโรแมนติกแล้ว เดินมาอีกหน่อย ก็พบกับ
เทพีเสรีภาพ ?!?! ซึ่งเราก็รู้ว่ามีเทพีเสรีภาพอยู่ที่ญี่ปุ่นด้วยแต่ไม่คิดว่าจะอยู่ที่นี่
เห็นไหมล่ะบอกแล้วว่าใจมันอยู่แต่กับกันดั้มจริง ๆ 














หลังจาก(คิดว่า)ดูทุกสิ่งทุกอย่างในโอไดบะจนครบแล้ว ก็ได้เวลากลับโยโกฮาม่ากันล่ะ 
วันนี้นัดเพื่อน ๆ (ของผู้มีอุปการะคุณ) จะไปกินเนื้อย่างกัน เราจับรถไฟกลับมาที่โยโกฮาม่า
ประมาณ 30 นาทีก็ถึงสถานีโยโกฮาม่าแล้ว ผมอปกรค (ย่อมาจากผู้มีอุปการะคุณ ย่อทำไมฟร่ะ!)
ถามว่าอยากกินอะไร อีกตั้งสองชั่วโมงกว่าจะถึงเวลากินเนื้อย่าง ในขณะที่กำลังอ้าปากจะตอบ
นางก็บอกว่าไปกินราเมงกันเถอะ ห่ะ ?!?! นี่เมิงจิมิให้กรุมีโอกาสได้พรูดดดดเลยชิมิ 
เอาว่ะ ราเมงก็ราเมง !! นางพาเดินไปราเมงร้านโปรดของนาง ซึ่งรอคิวประมาณ 20 นาที
ก็ได้กิน (20นาทีเอ๊งงง!!) 
พอเข้าไปนั่งกินเท่านั้นแหละ สมกับที่รอมา 20 นาทีนะ สิ่งที่ชอบในร้านราเมงญี่ปุ่นอย่างนึงคือ
จะโกยผักดองใส่เท่าไหร่ก็ได้ ซึ่งเรากินถั่วงอกน้ำมันงาเยอะมากกินไปปริมาณเท่าราเมงชามนึง
ร้านญี่ปุ่นอะไรที่เติมได้ไม่อั้นเนี่ยมาเปิดที่ไทยอาจมีเจ๊งนะคะนะ












กินเสร็จกลับมาบ้านนั่งพักสักแป่บก่อนออกไปเผชิญโลกโยโกฮาม่าต่อ 

มาต่อกันบล็อกหน้านะจ๊ะ 










12/13/14

Japan Autumn Trip 2014 : Showa kinen kouen




เมื่อปลายเดือนที่แล้วหนีไปเที่ยวญี่ปุ่นมาค่ะ เรียกว่าหนีไปเที่ยวจริง ๆ เพราะไม่ได้บอกใครเลย
อยากไปก็เก็บกระเป๋า เวลาเตรียมตัวเวลาเที่ยวน้อยมากแต่มันมีสาเหตุที่ต้องไป ฮ่าๆๆ
เราเองเพิ่งไปเที่ยวมาต้นปี ปลายปีไปอีกแล้วววว นี่เอ็งจะล่ำซำอะไรกันขนาดนั้นนนน
ตรงนี้ต้องขอขอบพระคุณผู้มีอุปการะคุณ ที่ดูแลร่างกายหัวใจและกระเป๋าตังกันเป็นอย่างดีนะคะ >///<


ออกเดินทางด้วยแอร์เอเชียเหมือนเช่นเคย ครั้งที่แล้วราคาอยู่ที่ 13xxx รอบนี้อยู่ที่ 17xxx
เข้าใจได้ค่ะเป็นเพราะมันเป็นไฮซีซั่น อยากเห็นอะไรสวย ๆ งาม ๆ เราก็ต้องยอมจ่ายเนอะ
ออกจากดอนเมือง 9 โมง ถึงฮาเนดะตอนสี่ทุ่มครึ่งกว่าจะผ่านตม. (ที่คนเยอะอลังการล้านแปด)
ออกมาได้ก็ห้าทุ่มกว่าแล้ว เจอตัวคนมารอรับแล้วรีบวิ่งเลย เดี๋ยวตกรถไฟขบวนสุดท้าย ฮ่าาา
ขบวนสุดท้ายนี่คือรถไฟจริง ๆ นะ

รอบนี้มาโยโกฮาม่าค่ะจากสนามบินใช้เวลาประมาณ 45 นาที และจะไปโตเกียวบ้างประปราย
(ซึ่งจริง ๆ ก็ไปเกือบทุกวัน) อากาศตอนนี้ประมาณ 10 องศา กำลังสบาย เราใส่เสื้อตัวเดียวสบาย ๆ ค่ะ
ขนเสื้อหนา ๆ มาเต็มกระเป๋าเลยยย (เปลืองพื้นที่สำหรับแอลกอฮอร์มากๆ) ไม่ได้ใช้สักตัว T_T
ได้ใช้เสื้อกันหนาวแบบฟูลออฟชั่นจริง ๆ วันสุดท้ายเพราะฝนตก


























ก่อนมาก็เขียนแผนไว้เต็มเลยค่ะ จะทำนู่น จะไปนี่ จะกินนั่น แล้วไงหล่ะ นอนไม่ตื่น พลาดไปหลายอย่าง
อ่ะ ไม่เป็นไรเดี๋ยวค่อยกลับมาเก็บคราวหน้า ซึ่งคราวหน้านี่ยังไม่รู้เมื่อไหร่นะคะนะ รอไปก่อน
เราไปถึงคืนวันศุกร์ ประมาณเที่ยงคืนเช้าวันเสาร์ออกจากบ้าน 9 โมงเพื่อไปโตเกียวค่ะ
เป้าหมายวันนี้คือใบไม้แดงที่ Showa kinen kouen ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจว่าจะมาที่นี่ จะไปอีกสวนนึง 
แต่คนนำทางบอกว่ามันยังไม่ค่อยแดงมาก เราไปที่โชวะคิเนนกันเถอะ มีคนแนะนำมา 
ก็เลยตัดสินใจมาที่นี่ค่ะ 

และที่นี่ค่อนข้างไกล ไกลทั้งจากโตเกียว และโยโกฮาม่า เรานั่งรถไฟประมาณชั่วโมงนึง
แต่ได้โปรดอย่าถามเนอะว่านั่งสายไหน จากไหนไปไหนอะไรยังไง นี่มารอบที่ 4 แล้ว 
ด้วยความที่มีคนพาไปไหนมาไหนตลอดเลยไม่เคยคิดที่จะจำทางด้วยตัวเอง อย่าเลียนแบบนะคะ 
หลงทางมานี่ทำอะไรไม่ได้เลยนะ ทำได้แค่ร้องไห้อย่างเดียว













เราออกจากบ้าน (โยโกฮาม่า) กันประมาณ 9 โมง มาถึงสวนนี้ก็ประมาณ 10 โมงกว่า ๆ ค่ะ 
อันนี้รวมเดินและแวะซุปเปอร์ซื้อของกินแล้ว (ซื้อโอนิกิริไปกินในสวนกันค่ะ) จริง ๆ แค่เดินก็ประมาณ
20 นาทีแล้วล่ะ แหมมม ที่ไหนจะเหมือนบ้านเราเนอะ ลงรถไฟปั๊บมีพี่วินบริการถึงประตูหน้าบ้าน 
อ่ะ ! อย่าบ่น ๆ บริหารกล้ามเนื้อน่องกันไป 

ถึงหน้าสวนแล้วตอนแรกคิดว่ามวลมหาประชาชมใบไม้แดงต้องแออัดมากแน่ ๆ เพราะวันนี้วันเสาร์ด้วย
แล้วที่นี่ใบไม้ก็เปลี่ยนสีแบบพีคสุดในช่วงนี้ ปรากฏว่าผิดคาดแฮะ คนก็เยอะนะ แต่ไม่แออัดเท่าที่คิด
เดินกันชิว ๆ สบาย ๆ แล้วแดดดีฟ้าสวยต้อนรับกันเลยนะฮ่ะ ตัดกับใบแปะก๊วยสีเหลืองอย่างที่สุด
มันตัดกันแบบหาที่เปรียบไม่ได้ สวยมากกกก (คือขอตื่นเต้นหน่อยเหอะนะ เกิดมาเพิ่งเคยเห็น
ใบไม้แดงครั้งแรกในชีวิตนี่แหละ) 










เราอยากจะบอกว่าสวนนี้ มัน กว้าง มากกกกก ที่ถ่ายรูปมานี่เฉพาะด้านนอกนะ แค่ 30% ของสวนเท่านั้น
เดินเข้าไปข้างในจะเจอกับทะเลสาป ซึ่งค่อนข้างใหญ่และพื้นที่ในสวนด้านใหนก็ใหญ่มาก
หากว่าจะเดินกันจริง ๆ คงต้องใช้เวลาประมาณครึ่งวันเลยนะ คนเวลาน้อยอย่างเราเลยตัดสินใจ
ดูแค่ด้านนอกของสวนที่มีใบแป๊ะก๊วย (และเมเปิ้ลประปราย) แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว

ออกจากสวนประมาณบ่ายโมงค่ะ ตรงไปที่โตเกียวเอกิกันต่อ เพราะมีน้องฝากซื้อริลัคคุมะ 
เราเองก็ไม่ใช่ติ่งริลัคคุมะ รู้แค่ว่าที่โตเกียวเอกิจะมีริลัคคุมะสโตร์อยู่ 1 ร้าน
ซึ่งไอ้เจ้าริลัคคุมะสโตร์นี่จะมีแค่เมืองละร้านเท่านั้นนะคะ เท่าที่อ่านรีวิวดู (ผิดพลาดประการใด
ต้องขออภัยไว้ด้วย) แล้วโตเกียวเอกิ มัน ใหญ่ มากกกกกก เราไม่สามารถเสิร์ชจาก กกม.
(a.k.a.กูเกิ้ลแมพ) ได้ รู้แค่ว่าอยู่ในโตเกียวเอกิ ที่เหลือคือ มึงต้องเดินหาเอาแค่นั้นแหละ
ซึ่ง เราก็ออกทางออกที่เราคิดว่ามันใช่ แต่จริง ๆ แล้วมันผิดค่ะ !!! และนั่นก็ทำให้เราต้องเดินวน
รอบสถานี คือแค่เดินวนรอบสถานีก็กินเวลาไปเกือบชั่วโมงแล้ว และ และ ในที่สุดดดดด
เราก็หามันเจอค่ะ เป็นร้านประมาณ 40 ตรม. คนแน่นกันเลยทีเดียว ซื้อที่วางโทรศัพท์ทั้งหมด 1 อัน
คนนำทางส่ายหัวฟึ่บ ๆ พร้อมบ่นว่าเสียเวลาเดินมาเป็นชั่วโมงเพื่ออะไรแค่นี้นะเหรอออ เฮ้อออ... 
โอ้ยยย !! บักคนไม่มีความสุนทรีย์ในสมองงง ฮ่วยย


ป.ล.ราคาริลัคคุมะที่นี่ถูกกว่าที่ไทยประมาณ 3 เท่าจ๊ะ 












เสร็จโปรแกรมทุกอย่างของวันนี้ ก็กลับเข้าที่พัก ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปดูไฟที่โตเกียวทาวเวอร์
(เราชอบความคลาสสิคของโตเกียวทาวเวอร์มากกว่าสกายทรีค่ะ) กะว่านอนงีบสักแพร่บบบ 
ตื่นมาจะไปกัน ปรากฏว่าาาตื่นมาทุ่มกว่าแล้วค๊าาาา เป็นอันว่าโตเกียวทาวเวอร์ของฉันเป็นอัน
ต้องพับเก็บไป แต่ไม่เป็นไรเคยมาแล้วรอบนึง (คราวหน้าแก้ตัวใหม่) เปลี่ยนแผนเป็นกินเหล้าแทน
จบวันด้วยความเมา ฮ่าๆๆๆๆ 


เดี๋ยวมาต่อกันบล็อกหน้านะจ๊ะ